จำนวนการค้นคว้าอิสระ ( 16 )

คุณลักษณะนักบัญชีพึงประสงค์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี คุณภาพการรายงานทางการเงินและความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีในยุคดิจิทัล
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยด้านคุณลักษณะนักบัญชีพึงประสงค์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชีและคุณภาพการรายงานทางการเงิน 2) ศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชีและคุณภาพการรายงานทางการเงินที่มีอิทธิพลต่อความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยนี้ คือ นักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 411 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการจัดอันดับ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยคุณลักษณะนักบัญชีพึงประสงค์ด้านความรู้ด้านธุรกิจ ทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร และความสามารถในการปรับตัวมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี และคุณภาพการรายงานทางการเงิน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.001 ยกเว้นความสามารถด้านวิชาชีพ ซึ่งไม่มีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี และคุณภาพการรายงานทางการเงิน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.05 และ 2) ปัจจัยประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี และคุณภาพการรายงานทางการเงินมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีในยุคดิจิทัล ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.001

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) เรื่องเครื่องมือทางการเงิน ที่มีต่อกำไรทางบัญชีและมูลค่าตามบัญชี ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน ที่มีต่อกาไรทางบัญชีและมูลค่าตามบัญชีของบริษัทจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ บริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET 100 ยกเว้นบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงิน รวมทั้งสิ้น 69 บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงินประจาปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และสถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษา พบว่า (1) ก่อนการประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน มูลค่าทางบัญชีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับกาไรทางบัญชี (2) หลังการ ประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน มูลค่าทางบัญชี มีความสัมพันธ์ทางบวกกับกาไรทางบัญชี (3) ก่อนการประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน กาไรทางบัญชีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับมูลค่าตามราคาตลาด และ (4) หลังการประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน กาไร ทางบัญชี มีความสัมพันธ์ทางบวกกับมูลค่าตามราคาตลาด ซึ่งสรุปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน ไม่ทาให้ผลกระทบของมูลค่าตามบัญชีและกาไรทาง บัญชีของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปได้

การยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานคร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของลักษณะด้านประชากรศาสตร์, ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ซึ่งกำหนดขนาดตัวอย่างตามวิธีของ W.G. Cochran ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย,และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน (T-test), การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s correlation coefficient) ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง, อายุระหว่าง 20–29 ปี, สถานภาพโสด, ระดับการศึกษาปริญญาตรี, อาชีพเป็นพนักงานบริษัท/ลูกจ้างเอกชน, และระดับรายได้ 20,001–30,000 บาท มีความคิดเห็นต่อภาพรวมส่วนประสมทางการตลาดบริการอยู่ระดับมาก โดยที่ด้านที่มีค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นมากที่สุดคือด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และความคิดเห็นต่อภาพรวมการยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับมาก โดยที่ด้านที่มีค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นมากที่สุดคือด้านพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศที่แตกต่างกัน มีการยอมรับเทคโนโลยี 5G ที่แตกต่างกัน ด้านทัศนคติที่มีต่อการใช้ และด้านพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีการยอมรับเทคโนโลยี 5G ที่แตกต่างกันด้านการรับรู้ถึง ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้งาน ด้านการรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ด้านทัศนคติที่มีต่อการใช้ และด้านพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และระดับรายได้ที่ แตกต่างกันมีการยอมรับเทคโนโลยี 5G ที่แตกต่างกันด้านทัศนคติที่มีต่อการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 และภาพรวมส่วนประสมทางการตลาดบริการ มีความสัมพันธ์กับภาพรวมการ ยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ด้านการรับรู้ถึง ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้งาน, การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน, ทัศนคติที่มีต่อการใช้, และพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ ที่ระดับความสัมพันธ์ค่อนข้างสูง

การบริหารความเสี่ยงที่มีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานคร
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานคร2) เพื่อศึกษาการบริหารความเสี่ยงที่มีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิผลการบริหารความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธุรกิจบริการ) ที่จดทะเบียนนิติบุคคลในเขตกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2564 จำนวน 400 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ การหาค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สถิติเชิงอนุมาน โดยใช้การทดสอบความแตกต่างโดยใช้ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะทางประชากรศาสตร์ ด้านรูปแบบธุรกิจ จำนวนพนักงานมีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานคร แตกต่างกันการบริหารความเสี่ยง ด้านกลยุทธ์ ด้านการเงิน ด้านการปฏิบัติงาน ด้านการปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย มีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานคร มีการบริหารความเสี่ยงในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และการบริหารความเสี่ยง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ด้านการเงิน ด้านการปฏิบัติงาน ด้านการปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมาย มีการบริหารความเสี่ยงอยู่ในระดับมาก และมีความสัมพันธ์กับผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับความสัมพันธ์สูง สรุปได้ว่าการบริหารความเสี่ยงมีความสัมพันธ์เชิงบวก และมีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ทั้งนี้ หากผู้บริหารมีแนวทางในการบริหารความเสี่ยงที่ดี มีมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม จะทำให้การบริหารงานมีความราบรื่นมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และส่งผลให้การดำเนินงานของธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด-19
การค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 2) เพื่อศึกษาการรับรู้ต่อบริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อบริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ประชาชนในกรุงเทพมหานครที่ใช้บริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ผลการศึกษาพบว่า 1) ความแตกต่างทางด้านลักษณะประชากรศาสตร์พบว่ามีความแตกต่างทางนัยสำคัญตั้งแต่ สถานภาพ และ ระดับการศึกษา ที่มีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 ในเขตกรุงเทพมหานครในลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลทางด้านประชากรศาสตร์ 2) การรับรู้ต่อบริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสด ในด้านความแตกต่างของช่องทางการรับรู้ข่าวสาร ความแตกต่างของรูปแบบสังคมไร้เงินสด และความแตกต่างของสถานที่ที่ใช้ในรูปแบบสังคมไร้เงินสด ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 อย่างมีนัยสำคัญ 3) ความพึงพอใจต่อบริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสด(6Ps) ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 อย่างมีนัยสำคัญ จากการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) พบว่าความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อบริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสด (6Ps) ที่แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการในรูปแบบสังคมไร้เงินสดในช่วงสถานการณ์โควิด -19 แตกต่างกัน ทางด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการให้บริการแบบเจาะจงและด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้ร้อยละ 67.7 (R square = 0.677)