จำนวนการค้นคว้าอิสระ ( 18 )

คุณลักษณะนักบัญชีพึงประสงค์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี คุณภาพการรายงานทางการเงินและความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีในยุคดิจิทัล
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยด้านคุณลักษณะนักบัญชีพึงประสงค์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชีและคุณภาพการรายงานทางการเงิน 2) ศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชีและคุณภาพการรายงานทางการเงินที่มีอิทธิพลต่อความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยนี้ คือ นักบัญชีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 411 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการจัดอันดับ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยคุณลักษณะนักบัญชีพึงประสงค์ด้านความรู้ด้านธุรกิจ ทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร และความสามารถในการปรับตัวมีอิทธิพลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี และคุณภาพการรายงานทางการเงิน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.001 ยกเว้นความสามารถด้านวิชาชีพ ซึ่งไม่มีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี และคุณภาพการรายงานทางการเงิน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.05 และ 2) ปัจจัยประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบัญชี และคุณภาพการรายงานทางการเงินมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีในยุคดิจิทัล ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.001

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) เรื่องเครื่องมือทางการเงิน ที่มีต่อกำไรทางบัญชีและมูลค่าตามบัญชี ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน ที่มีต่อกาไรทางบัญชีและมูลค่าตามบัญชีของบริษัทจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ บริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่ม SET 100 ยกเว้นบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงิน รวมทั้งสิ้น 69 บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลจากงบการเงินประจาปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และสถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษา พบว่า (1) ก่อนการประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน มูลค่าทางบัญชีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับกาไรทางบัญชี (2) หลังการ ประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน มูลค่าทางบัญชี มีความสัมพันธ์ทางบวกกับกาไรทางบัญชี (3) ก่อนการประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน กาไรทางบัญชีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับมูลค่าตามราคาตลาด และ (4) หลังการประกาศใช้มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน กาไร ทางบัญชี มีความสัมพันธ์ทางบวกกับมูลค่าตามราคาตลาด ซึ่งสรุปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงรายงาน ทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่องเครื่องมือทางการเงิน ไม่ทาให้ผลกระทบของมูลค่าตามบัญชีและกาไรทาง บัญชีของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปได้

คุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Grab ในเขตกรุงเทพมหานคร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลและคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Grab ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่เคยใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน Grab ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 414 ตัวอย่างเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติเชิงอนุมาน การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression) ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลไม่ส่งผลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Grab ในเขตกรุงเทพมหานคร และคุณภาพการให้บริการในภาพรวมส่งผลต่อความภักดีในภาพรวมได้ 62.3% ถือว่าอยู่ในระดับสูง คุณภาพการให้บริการเฉพาะความน่าเชื่อถือที่มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามต่อความภักดีของผู้ใช้บริการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Grabในเขตกรุงเทพมหานคร

การเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินและลักษณะเศรษฐกิจ สังคมที่มีผลต่อการวางแผนทางการเงินก่อนวัยเกษียณ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินที่ส่งผลต่อการวางแผนทางการเงินก่อนวัยเกษียณ 2) เพื่อศึกษาลักษณะเศรษฐกิจ สังคมที่ส่งผลต่อการวางแผนทางการเงินก่อนวัยเกษียณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรก่อนวัยเกษียณ ในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 249 ตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน คือ สถิติการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า การเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินและลักษณะเศรษฐกิจ สังคม ส่งผลต่อการวางแผนทางการเงินก่อนวัยเกษียณ ยกเว้น จำนวนสมาชิกในครอบครัว ไม่ส่งผลต่อการวางแผนทางการเงินก่อนวัยเกษียณ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05

การยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานคร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของลักษณะด้านประชากรศาสตร์, ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ซึ่งกำหนดขนาดตัวอย่างตามวิธีของ W.G. Cochran ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย,และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน (T-test), การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s correlation coefficient) ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง, อายุระหว่าง 20–29 ปี, สถานภาพโสด, ระดับการศึกษาปริญญาตรี, อาชีพเป็นพนักงานบริษัท/ลูกจ้างเอกชน, และระดับรายได้ 20,001–30,000 บาท มีความคิดเห็นต่อภาพรวมส่วนประสมทางการตลาดบริการอยู่ระดับมาก โดยที่ด้านที่มีค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นมากที่สุดคือด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และความคิดเห็นต่อภาพรวมการยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับมาก โดยที่ด้านที่มีค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นมากที่สุดคือด้านพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศที่แตกต่างกัน มีการยอมรับเทคโนโลยี 5G ที่แตกต่างกัน ด้านทัศนคติที่มีต่อการใช้ และด้านพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีการยอมรับเทคโนโลยี 5G ที่แตกต่างกันด้านการรับรู้ถึง ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้งาน ด้านการรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ด้านทัศนคติที่มีต่อการใช้ และด้านพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และระดับรายได้ที่ แตกต่างกันมีการยอมรับเทคโนโลยี 5G ที่แตกต่างกันด้านทัศนคติที่มีต่อการใช้ อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 และภาพรวมส่วนประสมทางการตลาดบริการ มีความสัมพันธ์กับภาพรวมการ ยอมรับเทคโนโลยี 5G ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ด้านการรับรู้ถึง ประโยชน์ที่เกิดจากการใช้งาน, การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน, ทัศนคติที่มีต่อการใช้, และพฤติกรรมความตั้งใจในการใช้ ที่ระดับความสัมพันธ์ค่อนข้างสูง