จำนวนงานวิจัย ( 66 )

ผลกระทบของกระบวนการทอร์รีแฟคชันต่อการเกิดความร้อนด้วยตัวเองของสนที่ผ่านกระบวนการทอร์รีแฟคชัน
ผลกระทบของกระบวนการทอร์รีแฟคชันต่อการเกิดความร้อนด้วยตัวเองของสนที่ผ่านกระบวนการทอร์รีแฟคชัน

งานวิจัยนี้ศึกษาผลกระทบของอุณหภูมิและความรุนแรงของกระบวนการทอร์รีแฟค ชันต่อพฤติกรรมการเกิดความร้อนด้วยตัวเองของไม้สนที่ผ่านการทอร์รีแฟคชัน โดยมีเป้าหมายเพื่อ ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดความร้อนด้วยตัวเองในกระบวนการทอร์รีแฟคชัน ผลการศึกษา พบว่า ที่อุณหภูมิที่ 60 °C น้ำหนักของไม้สนที่ผ่านการทอร์รีแฟคชันยังคงเสถียรในระหว่าง กระบวนการออกซิเดชัน ทั้ง 10% และ 30% ของการลดลงของน้ำหนักเริ่มต้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิด กระบวนการออกซิเดชันที่น้อยมาก ในขณะที่ 120 °C มีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของน้ำหนักซึ่งเกิดจาก การดูดซับออกซิเจน แต่ที่ 180 °C พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักในระยะเริ่มต้นตามด้วยการลดลง อย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการสลายตัวของออกซิเจน และกระบวนการออกซิเดชันของคาร์บอน โดยตรง ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพิ่มโอกาสในการเกิดความร้อนด้วยตัวเอง จึง แนะนำให้ใช้อุณหภูมิต่ำกว่า 120 °C เพื่อลดความเสี่ยงนี้ นอกจากนี้การศึกษายังเน้นถึงความรุนแรง ของกระบวนการทอร์รีแฟคชันที่มีผลต่อการเกิดความร้อนด้วยตัวเอง อุณหภูมิทอร์รีแฟคชันที่สูงขึ้น จะเพิ่มแนวโน้มในการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้ชีวมวลมีความเสี่ยงต่อการเกิดความร้อนด้วย ตัวเองมากขึ้น งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความรุนแรงของกระบวนการ ทอร์รีแฟคชัน และพฤติกรรมการเกิดความร้อนด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการจัดการและ การแปรรูปชีวมวลที่ผ่านการทอร์รีแฟคชันอย่างปลอดภัย

2567
ผลกระทบจากอุณหภูมิและผลได้เชิงมวลต่อคุณสมบัติทางเชื้อเพลิงของฟางข้าวที่ผ่านกระบวนการทอร์รีแฟคชัน
ผลกระทบจากอุณหภูมิและผลได้เชิงมวลต่อคุณสมบัติทางเชื้อเพลิงของฟางข้าวที่ผ่านกระบวนการทอร์รีแฟคชัน

งานวิจัยฉบับนี้ได้ศึกษาผลกระทบของเวลาในการทอร์รีแฟคชัน อุณหภูมิในการทอร์รี แฟคชัน และการสูญเสียน้ำหนักของฟางข้าว ต่อคุณสมบัติของฟางข้าวที่ผ่านกระบวนการทอร์รีแฟค ชัน โดยดำเนินการทอร์รีแฟคชันที่อุณหภูมิ 220 °C, 250 °C และ 280 °C โดยตั้งเป้าหมายการสูญเสีย น้ำหนักที่ 10%, 20% และ 30% ของน้ำหนักเริ่มต้น ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มอุณหภูมิในการ ทอร์รีแฟคชันช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการบรรลุการสูญเสียน้ำหนักของฟางข้าวได้อย่างมีนัยสำคัญ การ วิเคราะห์ทางกายภาพเผยให้พบว่าปริมาณคาร์บอนคงที่ของฟางข้าวเพิ่มขึ้นหลังจากกระบวนการทอร์ รีแฟคชัน โดยมีค่าระหว่าง 22.45% ถึง 28.48% ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและการสูญเสียน้ำหนักของฟาง ข้าว ในทางตรงกันข้าม ปริมาณสารระเหยและความชื้นลดลง ซึ่งสะท้อนถึงคุณสมบัติพลังงานที่ดีขึ้น ของชีวมวลที่ผ่านการทอร์รีแฟคชัน ปริมาณเถ้าสูงขึ้นหลังจากการทอร์รีแฟคชัน แสดงให้เห็นถึงสาร อนินทรีย์ที่เหลืออยู่มากขึ้น การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีแสดงให้เห็นว่าปริมาณไนโตรเจนคงที่ ขณะที่ปริมาณคาร์บอนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อปริมาณไฮโดรเจนและออกซิเจนลดลงตามความ รุนแรงของกระบวนการทอร์รีแฟคชัน ค่าอุณหภูมิความร้อนสูงสุด (HHV) ของฟางข้าวเพิ่มขึ้นจาก 16.55 MJ/kg ก่อนการทอร์รีแฟคชัน เป็นค่าในช่วง 17.59 ถึง 18.88 MJ/kg ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความ มีประสิทธิภาพของกระบวนการในการเพิ่มพลังงานของเชื้อเพลิง โดยรวมแล้ว ผลการศึกษาชี้ให้เห็น ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเงื่อนไขการทอร์รีแฟคชันและคุณสมบัติของชีวมวล โดยการควบคุมอุณหภูมิ และการสูญเสียน้ำหนักของชีวมวลอย่างเหมาะสมสามารถปรับปรุงคุณภาพเชื้อเพลิงของฟางข้าวได้ อย่างมีนัยสำคัญ

2567
การศึกษาแนวทางแก้ปัญหามลพิษของเตาเผาขยะประสิทธิภาพสูงเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชนใกล้เคียง
การศึกษาแนวทางแก้ปัญหามลพิษของเตาเผาขยะประสิทธิภาพสูงเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชนใกล้เคียง

เนื่องจากในปัจจุบัน "ปัญหาขยะล้นเมือง" เป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ บนโลก เพราะจำนวนขยะมหาศาลที่ไม่ถูกทำลายอย่างถูกต้องและเหมาะสม ก็จะไปเจือปนอยู่ในระบบนิเวศ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ ดิน พืชผัก ทะเล รวมถึงสัตว์น้ำ และสัตว์ทะเลนานาชนิด สุดท้ายก็กลับมาสะสมใน ร่างกายมนุษย์ที่บริโภคสารปนเปื้อนเหล่านั้น อีกทั้งยังเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วยปัญหา ขยะล้นเมืองนั้นมีสาเหตุมาจากมนุษย์แทบทั้งหมด โดยใน 1 วัน ทุกคนจะสร้างขยะเฉลี่ยประมาณ 1.14 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มาก เมื่อเทียบกับการทำลาย และจัดการขยะที่ต่อวันที่ทำได้อย่างไม่สมดุลจน เกิดเป็นปัญหาขยะสะสม ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เพราะการกำจัดขยะในปริมาณ มากจะต้องใช้ทั้งเวลาและพื้นที่ขนาดใหญ่ เนื่องจากขยะแต่ละประเภทมีขั้นตอน และวิธีในการกำจัดที่แตกต่าง กันออกไป โครงการวิจัยนี้อธิบายการทำวิจัยและพัฒนาเตาเผาขยะชุมชนประสิทธิภาพสูงเพื่อนำเตาเผาขยะ ชุมชนประสิทธิภาพสูงไปใช้สู่เชิงพาณิชย์รับ โดยสามารถกำจัดได้ทั้งขยะแห้งและขยะเปียก เผาทำลายขยะ ทั้งใหม่และเก่า โดยการเผาทำลายนั้นต้องไม่ก่อมลพิษ ทั้งควัน, กลิ่น และ ฝุ่น PM 2.5 รวมทั้งต้องสามารถ นำขยะที่ผ่านกระบวนการเผามาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างมูลค่าต่อ เช่น น้ำมัน ,เม็ดพลาสติก และไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากได้ผลลัพธ์ทางตรงในการกำจัดขยะที่ตกค้างเพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่แล้วยังจะเป็นการช่วยลดโลกร้อน สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน และสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ผู้เกี่ยวข้องอย่างมากมาย

2567
การทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
การทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

งานวิจัยเรื่องการทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบชุดทดสอบและศึกษาค่าความคลาดเคลื่อนของชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ โดยชุดทดสอบมีคานรับมวลความยาว 1,000 มิลลิเมตร สามารถสร้างแรงบิดที่ทอร์กทรานสดิวเซอร์ได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 นิวตันต่อเมตร การทดลองจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงการทวนสอบชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ และช่วงการทดลองหาความเป็นเชิงเส้นและค่าความคลาดเคลื่อนของชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ โดยทั้ง 2 ช่วงจะทดลองที่อุณหภูมิ 25 องศา ใช้มวลขนาด 0.1 กิโลกรัม ถึง 103.10 กิโลกรัม ในสภาวะแรงบิดต่ำสุดที่ 1 นิวตันต่อเมตร และแรงบิดสูงสุด 880 นิวตันต่อเมตร จากการทดลองพบว่าความเป็นเชิงเส้นระหว่างแรงบิดที่ได้จากการคำนวณกับมาตรวัด และแรงบิดที่ได้จากการคำนวณกับสัญญาณแรงดัน ทางไฟฟ้า นั้นมีค่าความชันเฉลี่ย เท่ากับ 0.9851 และ 0.0050 มีค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของ มาตรวัดและสัญญาณแรงดันไฟฟ้า เท่ากับ 0.2883 และ 0.2564 และมีค่าความคลาดเคลื่อนจาก ชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ มีค่าเท่ากับ 0.0148 (ร้อยละ 1.48)

2567
การทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
การทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

งานวิจัยเรื่องการทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบชุดทวนสอบอุปกรณ์วัดความดันและศึกษาความคลาดเคลื่อนของชุดทวนสอบอุปกรณ์วัดความดัน การออกแบบชุดสาธิตฯ เลือกใช้ประเภท Hydraulic dead weight tester และใช้น้ำมันเป็นสารตัวกลาง โดยการออกแบบนั้นอาศัยทฤษฎีคานงัดคานดีด ผลการศึกษาถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การทวนสอบ และ 2) การทดสอบความเป็นเชิงเส้น การเปรียบเทียบผลการทวนสอบความดันที่ได้จากการคำนวณและมาตรแสดงผลที่สภาวะความดันสูงสุดถูกพบว่า มีความแตกต่างกันร้อยละ 12.42 และที่สภาวะความดันต่ำสุด มีความแตกต่างกันร้อยละ 25 อีกทั้งการทดสอบความเป็นเชิงเส้นระหว่างความดัน ที่ได้จากการคำนวณและมาตรแสดงผล พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.9999 โดยมีค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.00558 และมีค่าความคลาดเคลื่อนระหว่างความดันที่ได้จาก การคำนวณและมาตรแสดงผล เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 16.36

2567