จำนวนงานวิจัย ( 3 )

การวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตของคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน วิชาเอกเทคโนโลยีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการปรับปรุงหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตของคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน วิชาเอกเทคโนโลยีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน คือ การวิจัยเชิงสำรวจ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากล่มย่อย ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. กลุ่มตัวอย่างจำนวน 107 คน สนใจในการทำงานเบื้องหลังโฆษณา หรือกองถ่ายทำมากที่สุด จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 23.94 แต่กลุ่มตัวอย่างไม่รู้จักคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จำนวน 76 คน คิดเป็นร้อยละ 71.03 สำหรับการเปิดรับสื่อ พบว่าเปิดรับสื่อบุคคลมากที่สุด จำนวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 62.03 นอกจากนี้พบว่า เพื่อน/รุ่นพี่ เป็นแหล่งข้อมูลในการศึกษาต่อของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด จำนวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 37.40 รองลงมา คือ สื่อสังคมออนไลน์ และข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จำนวน 30 คน คน คิดเป็นร้อยละ 28.04 ด้านการจัดการศึกษาพบว่าหลักสูตรตรงตามความต้องการของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 36.40 และความต้องการศึกษาเฉพาะสาขาวิชาเทคโนโลยีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 43.00 สำหรับการคัดเลือกเข้าศึกษา กลุ่มตัวอย่างต้องการให้พิจารณาจากค่าเฉลี่ยสะสม (GPA) อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 37.40 และต้องการศึกษาในเวลาราชการ (จันทร์-ศุกร์ 8.00-16.30 น.) อยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.40 2. ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้เรียน พบว่า หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตของคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน วิชาเอกเทคโนโลยีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์และคุณวุฒิของอาจารย์มีความเหมาะสม โดยผู้เรียนสนใจวิชาปฏิบัติมากกว่าทฤษฎีและไม่สนใจวิชากลุ่มศึกษาทั่วไป ส่วนผลการสนทนากลุ่มย่อย ผู้เชี่ยวชาญพบว่า แนวโน้มของอุตสาหกรรมด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์เข้าสู่ยุคดิจิทัลมีเดีย ดังนั้น ทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ คือ ทักษะด้านดิจิทัลมีเดีย การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การคิดวิเคราะห์ การเขียนเนื้อหาในสื่อออนไลน์ (Content) การรู้จักใช้สื่อ หรือ การใช้เครื่องมือแต่ละประเภท เป็นคนทันสมัยทันข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน และเป็นคนอยากเรียนรู้เพิ่มตลอดชีวิต

Crowdsourcing ในบริบทงานวิจัยไทย
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจและรวบรวมประเด็นศึกษา แนวคิด ทฤษฎี และระเบียบวิธีวิจัยที่ปรากฏในงานวิจัยด้านการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับ Crowdsourcing ของไทย ในช่วงปี 2549 ถึงปี 2566 และ 2) วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อค้นพบที่ปรากฏในงานวิจัยด้านการสื่อสารที่ศึกษาเกี่ยวกับ Crowdsourcing ของไทย ในช่วงปี 2549 ถึงปี 2566 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการวิเคราะห์เอกสาร (Document Research) จากรายงานการวิจัย บทความวิจัย และวิทยานิพนธ์ทางด้านนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชน ที่จัดทำหรือเผยแพร่ระหว่าง พ.ศ. 2549 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 และเฉพาะบทความวิจัยที่มี Peer-review ส่วนรายงานการวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ต้องมีฉบับเต็ม (Full-text) ที่ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ของไทย และฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ฉบับเต็มของของสถาบันอุดมศึกษา สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ที่เปิดสอนในหลักสูตรระดับปริญญาเอกทางด้านนิเทศศาสตร์หรือสื่อสารมวลชน จำนวน 15 สถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งสิ้น 10 เรื่อง ผลการศึกษาข้อมูลเชิงปริมาณ พบว่า 1) ประเด็นการศึกษาตามองค์ประกอบของ Crowdsourcing ด้านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับงาน (Task) มากที่สุด จำนวน 8 เรื่อง รองลงมาคือ ด้านแพลตฟอร์ม (Platform) และด้านผู้ใช้สื่อ (User) จำนวน 6 เรื่อง ส่วนด้านผู้จัดการกระบวนการ/เนื้อหา (Crowdsourcer) น้อยที่สุด คือ จำนวน 4 เรื่อง ทั้งนี้จะเห็นว่าประเด็นการศึกษาของรายงานการวิจัย บทความวิจัย และงานวิทยานิพนธ์แต่ละเรื่องนั้น มิได้ศึกษาเพียงองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เพียงองค์ประกอบเดียว แต่เป็นการศึกษาในหลายองค์ประกอบร่วมกัน 2) การกระจายตัวของแนวคิดทฤษฎี พบว่า มีแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับ Crowdsourcing/Crowdfunding มากที่สุด จำนวน 7 เรื่อง รองลงมาคือ แนวคิดเกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะ จำนวน 4 เรื่อง และแนวคิดเกี่ยวกับวารสารศาสตร์ภาคพลเมือง/สื่อพลเมือง/การรายงานข่าวโดยมวลชน จำนวน 3 เรื่อง ตามลำดับ และ 3) กระจายตัวของระเบียบวิธีวิจัย มีงานวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มากที่สุด จำนวน 4 เรื่อง ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม รองลงมาคือ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 3 เรื่อง ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา การสำรวจ และการวิจัยเชิงทดลอง และระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน จำนวน 3 เรื่อง ผลการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า 1) ประเภท Crowdsourcing ในบริบทงานวิจัยไทย มีการศึกษาที่ไม่ครอบคลุมทั้ง 5 ประเภทของ Crowdsourcing โดยพบเพียง 2 ประเภท ได้แก่ งานวิจัยที่ศึกษาประเภทงานขนาดเล็ก (Micro-task) และงานวิจัยที่ศึกษาประเภทระดมทุนจากมวลชน (Crowdfunding) และ 2) ข้อค้นพบในงานวิจัยที่สำคัญ ประกอบด้วย แพลตฟอร์ม Crowdsourcing พื้นที่สาธารณะของมวลชนบนโลกออนไลน์ ทั้งที่สมบูรณ์ และไม่สมบูรณ์ เนื้อหา (สาร) ที่เกี่ยวข้องกับงาน (Task) มีผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และภาพลักษณ์ของผู้ระดมทุนมีผลต่อความตั้งใจให้เงินทุนบนแพลตฟอร์ม Crowdfunding

ความต้องการ สภาพ และปัญหาการจัดกิจกรรมของนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
การวิจัยเรื่องความต้องการ สภาพและปัญหาการจัดกิจกรรมของนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อศึกษาความต้องการในการเข้าร่วมกิจกรรม สภาพการจัดกิจกรรมนักศึกษา และปัญหาการจัดกิจกรรมนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครชั้นปี่ที่ 1- 4 ทั้ง 9 คณะ ปีการศึกษา 2566 โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล กำหนดกลุ่มตัวอย่างมี 400 คน ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบผสมผสาน (Mixed Sampling) คือการเลือกตัวอย่างแบบใช้ความน่าจะเป็น (Probability Sampling) และไม่ใช้ความน่าจะเป็น(Non-Probability Sampling) ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ ผลการวิจัยลักษณะประชากรพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มากที่สุด ในส่วนของความต้องการการจัดกิจกรรมนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19 พบว่าด้านกิจกรรมบังคับแกน และ ด้านกิจกรรมพัฒนานักศึกษาสู่บัณฑิตพึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความต้องการด้านรูปแบบการจัดกิจกรรมหลังยุคโควิด-19 อยู่ในระดับมาก นักศึกษาส่วนมากมีความต้องการกิจกรรมพัฒนานักศึกษาสู่การเป็นบัณฑิตพึงประสงค์ด้วยตนเองอย่างอิสระแบบออนไลน์ สภาพการจัดกิจกรรมนักศึกษาในยุคหลัง โควิด-19 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และปัญหาการจัดกิจกรรมนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19 อยู่ในระดับมาก โดยพบว่าการประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมนักศึกษาเป็นปัญหามากที่สุด การทดสอบสมมติฐานพบว่าลักษณะทางประชากรของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร ไม่มีความสัมพันธ์กับความต้องการการจัดกิจกรรมนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19 สภาพของการจัดกิจกรรมนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19 และปัญหาการจัดกิจกรรมนักศึกษาในยุคหลังโควิด-19