จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 102 )

การออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิด ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าไหมขิด จังหวัดอุดรธานี
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้สีและลวดลายผ้าเบี่ยงไหมขิด 2) ออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิด และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิดของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าไหมขิด จังหวัดอุดรธานี ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้าเบี่ยงไหมขิด และด้านการออกแบบลวดลาย จำนวน 5 ท่าน และสมาชิกกลุ่มทอผ้าไหมขิด บ้านหนองอ้อ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แกแบบสอบถามความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้สีและลวดลาย การใช้สี ประกอบด้วย 11 สี ได้แก่ สีครามจากต้นคราม สีแดงจากครั่ง สีเขียวจากใบสบู่เลือด สีชมพูจากไม้ฝาง สีเหลืองเข้มจากแก่นเข สีดำจากผลมะเกลือ สีทองจากดอกบัวแดง สีเงินจากก้านดอกบัวแดง สีน้ำตาลจากฝักคูน และสีเหลืองนวลจากผลทับทิม ส่วนลวดลายประกอบด้วย 9 ลาย ได้แก่ ลายกะปูอุ้มดาว ลายแมงงอด ลายหงส์ใหญ่ ลายพันมหา ลายหมากนัด ลายบายศรีอุ้มหน่วย ลายกาบอุ้มดาว ลายดาวจุ้ม และลายหงอนเงือก 2) การออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิด จำนวน 3 รูปแบบ ได้แก่ ผ้าเบี่ยงไหมขิดลายขอหลง ผ้าเบี่ยงไหมขิดลายตะเภาหลงเกาะ ผ้าเบี่ยงไหมขิดลายดอกพิกุล ผู้เชี่ยวชาญเลือก ลายขอหลงประเภทที่ 1 ลายตะเภาหลงเกาะประเภทที่ 2 และลายดอกพิกุลประเภทที่ 1 3) ความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิดบ้านหนองอ้อ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้สีและลวดลายมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.67 ด้านการออกแบบมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.85 และด้านผลิตภัณฑ์ มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.82 ตามลำดับ

การออกแบบมาลัยของกลุ่มชุมชนปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร
ออกแบบมาลัยของกลุ่มชุมชนปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อมาลัยของกลุ่มชุมชนปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร ผู้ศึกษาได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงสำหรับการสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญที่มีความเกี่ยวข้องกับงานดอกไม้ไทยและผู้ประกอบการงานดอกไม้ไทยในชุมชนปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร จำนวน 5 ท่าน และผู้บริโภคที่มีต่อมาลัยของกลุ่มชุมชนปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร จำนวน 150 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อมาลัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) มาลัยของกลุ่มชุมชนปากคลองปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบแรก มาลัยสำเร็จประกอบด้วยมาลัยชายเดียว มาลัยสองชาย และมาลัยชำร่วย ส่วนรูปแบบที่สอง ส่วนประกอบมาลัย ได้แก่ อุบะมาลัย มาลัยซีกหรือรัดข้อมาลัย มาลัยแบน ตัวมาลัย ช่อเอื้อง ทัดหู และดอกไม้ประดิษฐ์ 2) การออกแบบมาลัยประกอบด้วย 3 รูปแบบ ได้แก่ มาลัยชายเดียว มาลัยสองชายและมาลัยชำร่วย และ 3) ความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อมาลัยของกลุ่มชุมชนปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร ประเภทที่ 1 มาลัยชายเดียว ด้านการ ใช้สอย มีระดับความพึงพอใจมากที่สุดมีความเหมาะสมในการเป็นของขวัญ มีค่าเฉลี่ย 4.35 ด้านสีสัน มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีการประยุกต์รูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการหรือความนิยม ในปัจจุบัน มีค่าเฉลี่ย 4.22 ด้านความสวยงาม มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามสามารถจำหน่ายได้ มีค่าเฉลี่ย 4.42 ประเภทที่ 2 มาลัยสองชาย ด้านการใช้สอย มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีความเหมาะสมในการเป็นของขวัญ มีค่าเฉลี่ย 4.34 ด้านสีสัน มีระดับ ความพึงพอใจมากที่สุด มีการออกแบบแสดงถึงเอกลักษณความเป็นไทย มีค่าเฉลี่ย 4.50 ด้านความสวยงาม มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด ผลิตภัณฑ์บ่งบอกถึงความประณีต สวยงาม ดึงดูดความสนใจมีค่าเฉลี่ย 4.32 ประเภทที่ 3 มาลัยชำร่วย ด้านการใช้สอย มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมในการประดับตกแต่งบ้านเรือน มีค่าเฉลี่ย 4.54 ด้านสีสัน มีระดับความพึงพอใจ มากที่สุด มีการออกแบบที่ประณีต สวยงาม มีค่าเฉลี่ย 4.26 ด้านความสวยงาม มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด ผลิตภัณฑ์มีความสวยงามสามารถจาหน่ายได้ มีค่าเฉลี่ย 4.41

การพัฒนาผลิตภัณฑ์แผ่นเกี๊ยวจากแป้งข้าว กข 43
การพัฒนาผลิตภัณฑ์แผ่นเกี๊ยวจากแป้งข้าว กข 43 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปริมาณ ที่เหมาะสมของแป้งข้าว กข 43 ในผลิตภัณฑ์แผ่นเกี๊ยว 2) ศึกษาผลของการใช้สารไฮโดรคอลลอยด์ ที่มีต่อคุณภาพของแผ่นเกี๊ยวจากแป้งข้าว กข 43 และ 3) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของ แผ่นเกี๊ยวระหว่างการเก็บรักษา จากการศึกษาพบว่า ปริมาณที่เหมาะสมของแป้งข้าว กข 43 ทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์แผ่นเกี๊ยว คือ ร้อยละ 50 และสารไฮโดรคลอลอยด์ที่เหมาะสม คือ แซนแทนกัมร้อยละ 0.15 และกัวร์กัมร้อยละ 0.15 โดยแผ่นเกี๊ยวดิบมีค่าสี L* 73.28 a* 2.36 และ b* 20.68 ค่า Water activity (aw) 0.94 ค่าเนื้อสัมผัส มีค่าความแข็ง 5,960 N การยึดเกาะ -185.5 N.s ความยืดหยุ่น 50.7 ความเหนียว 4,858.0 และความทนต่อการเคี้ยว 3,020.5 ซึ่งสูงกว่าแผ่นเกี๊ยว สูตรพื้นฐาน (แป้งสาลี) ส่วนค่า Water activity (aw) ไม่แตกต่าง (p>0.05) การทดสอบคะแนนความชอบของผลิตภัณฑ์แผ่นเกี๊ยวจากแป้งข้าว กข 43 ทดแทนแป้งสาลีในปริมาณร้อยละ 50 ที่เสริมแซนแทนกัมร้อยละ 0.15 และกัวร์กัมร้อยละ 0.15 ผู้ทดสอบให้คะแนนความชอบด้านสี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส ความชอบโดยรวมสูงกว่าแผ่นเกี๊ยวสูตรพื้นฐาน สูตรที่เสริมกัวร์กัมร้อยละ 0.3 และสูตรที่เสริมแซนแทนกัม ร้อยละ 0.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ผลการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของแผ่นเกี๊ยวที่เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 5 °ซ พบว่า แผ่นเกี๊ยวสูตรแป้งข้าว กข 43 ทดแทนร้อยละ 50 เสริมแซนแทนกัมและกัวร์กัม เมื่อไปทดสอบด้วยวิธีการต้มและวิธีการนึ่ง มีคุณภาพและเนื้อสัมผัสดีกว่าสูตรพื้นฐาน โดยแผ่นเกี๊ยวสูตรแป้งข้าว กข 43 ร้อยละ 50 เสริมทั้งกัวร์กัมและแซนแทนกัม มีการเปลี่ยนแปลงและสามารถเก็บรักษาในตู้เย็นได้ในระยะเวลา 6 วัน

การพัฒนาผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดเสริมใบชะครามผง
การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สูตรพื้นฐานของคุกกี้เนยสด 2) ปริมาณใบชะครามผงที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสด และ 3) การยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดเสริมใบชะครามผง ผลการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัส ของผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดสูตรพื้นฐาน พบว่า ผู้ชิมให้คะแนนคุณภาพทางด้านประสาทสัมผัสสูตรที่ 1 ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ในระดับชอบมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ย คือ 8.32 8.24 8.08 8.12 8.08 และ 8.12 ตามลำดับ ผลการศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของใบชะครามผงที่เสริมในผลิตภัณฑ์คุกกี้ 4 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 0, 10, 15 และ 20 ของน้ำหนักแป้งสาลี พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การยอมรับผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดเสริมใบชะครามผงปริมาณ ร้อยละ 15 ของปริมาณแป้งสาลีทั้งหมด ค่าความกรอบ มีความแตกต่างกันอย่างนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ผลการวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดสูตรพื้นฐานและผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดเสริมใบชะครามผง โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าสี พบว่า ค่า (L*) (a*) และ (b*) ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p≥0.05) สำหรับค่าความกรอบ มีความแตกต่างกันอย่างในนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดเสริมใบชะครามผง 100 กรัม มีปริมาณโปรตีน 4.97 กรัมคาร์โบไฮเดรต 57.05 กรัม ไขมัน 31.26 กรัม ความชื้น 4.82 เถ้า 1.90 กรัม เบต้าแคโรทีน 973.23 ไมโครกรัม ใยอาหาร 2.46 กรัม และแคลเซียม 710.513 ไมโครกรัม และผลการศึกษาผู้บริโภคให้การยอมรับผลิตภัณฑ์คุกกี้เนยสดเสริมใบชะครามผงคิดเป็นร้อยละ 80.67 ผลิตภัณฑ์มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก 1 กล่อง มีจำนวน 7 ชิ้น น้ำหนัก 70 กรัม ราคา 50 บาท และควรมีการจัดจำหน่ายในร้านเบเกอรี่

การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก วิชาขนมอบยอดนิยม สำหรับนักเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา
สื่อการสอนช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ผู้สอนและผู้เรียนเรียนรู้ไปพร้อมกันได้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก วิชาขนมอบยอดนิยม สำหรับนักเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา 2) ประเมินประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก วิชาขนมอบยอดนิยม สาหรับนักเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น วิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก วิชาขนมอบยอดนิยม สาหรับนักเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นวิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นจำนวน 20 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบประเมินความเหมาะสมของสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก 2) แบบประเมินทักษะการปฏิบัติงาน 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้ประเมิน (RAI) และค่าประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย E1/E2 ตามเกณฑ์ 80/80 ผลการวิจัย พบว่า 1) เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องการทาชิฟฟอนเค้ก แบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่วัตถุดิบและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำชิฟฟอนเค้ก ขั้นตอนการทำชิฟฟอนเค้กวนิลลา และ การนำไปประยุกต์เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชิฟฟอนเค้กหม้อแกงเผือก มีความเหมาะสมในระดับดีมาก2) ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก มีค่าเท่ากับ 80.00/84.38 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ประเมินประสิทธิภาพที่ 80/80 และการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้ประเมินในภาพรวมเท่ากับ 0.93 แสดงว่ามีความสอดคล้องกันมาก 3) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อสื่อมัลติมีเดียเรื่องการทำชิฟฟอนเค้ก ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (M= 4.95) งานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะให้ใช้สื่อมัลติมีเดียกับผู้เรียนต่างกลุ่ม และให้การสนับสนุนการพัฒนาสื่อการสอนในหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากผู้สอนและสื่อการสอนที่หลากหลาย