จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 114 )

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะไอศกรีมแพลนต์เบสที่ผู้บริโภคต[องการ 2) ศึกษากรรมวิธีการผลิตไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอก 3) จัดทำคู่มือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ การวิจัยประกอบด้วยวิธีวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างใช้ผู้บริโภคเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยศึกษาคุณลักษณะไอศกรีมแพลนต3เบส จำนวน 400 คน ศึกษากรรมวิธีการผลิตไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอก จำนวน 50 คน จัดทำคู่มือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต3เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ ด้วยการยอมรับผลิตภัณฑ์ จำนวน 200 คน และทดลองใช[คู]มือผลิตภัณฑ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช[ในการวิจัย คือแบบสอบถาม แบบประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัส การวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพ คุณภาพทางเคมี คุณภาพทางจุลินทรีย3 และการทดลองใช[คู]มือการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางสถิติ (Analysis of Variances, ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยวิธี Duncan’s New Multiple Range Test (DMRT) กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาคุณลักษณะไอศกรีมแพลนต์เบสที่ผู้บริโภคต้องการ พบว่า ผู้บริโภคต้องการธัญพืช 3 ชนิด (ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วขาว) เนื้อสัมผัสละเอียด เนียน ตักไอศกรีมง่าย ละลายในปากได้เร็ว สีเป็นไปตามธรรมชาติของวัตถุดิบ กลิ่นรสธัญพืชรวม มีโปรตีนสูง บรรจุภัณฑ์เป็นถ้วยกระดาษแบบปดฝา และผลการศึกษากรรมวิธีการผลิตไอศกรีมแพลนต3เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอก พบว่าเมล็ดธัญพืช 3 ชนิด ที่ผ่านการแช่น้ำ 8 ชั่วโมง ถั่วเหลืองมีการบวมน้ำมากที่สุด ภายหลังการเพาะงอก 24 ชั่วโมง ถั่วขาวมีการงอกเร็วที่สุด เริ่มงอกที่ 8 ชั่วโมง นำธัญพืชเพาะงอกไปนึ่งและปั่นกับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เพื่อสกัดเป็นน้ำนมธัญพืชเพาะงอกที่ใช้ทดแทนน้ำนม พบว่า ไอศกรีมที่มีอัตราส]วนน้ำนมธัญพืชเพาะงอกจากถั่วดำ : ถั่วเหลือง : ถั่วขาว (55:35:10) ได้รับการยอมรับมากที่สุด มีสีเทาอ่อน ค่าความแข็ง (Hardness) 115.94 g force ค่าความหนืด 4840.35 cP อัตราการขึ้นฟูของไอศกรีม ร้อยละ 59.48 ปริมาณสารกาบา 39.06 mg/100 g มีค่า pH 6.65 ค่าของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ 18.40 ๐Brix ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด 25.99 mg GAE/100 mlปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด 83.20 mg QE/100 ml และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ FRAP, DPPH, ABTS,ORAC มีค่าสูงที่สุด องค์ประกอบทางเคมีจะมีค่าเพิ่มขึ้น ด้านความชื้น โปรตีน เถ้า ปริมาณไขมัน และ คาร์โบไฮเดรตลดลง การจัดทำคูมือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ พบว่า ต้นทุนไอศกรีมมีราคาขาย 10 บาท (1 ถ้วยต่อน้ำหนัก 80 กรัม) มีการยอมรับสนใจซื้อในผลิตภัณฑ์ โดยมีแนวทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางจัดจำหน่าย และส่งเสริมการตลาด โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับความเห็นด้วยอย่างยิ่ง (M = 4.68) ผลการทดลองใช้คู่มือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ พบว่า ด้านคุณลักษณะเล่มคู่มือ ด้านเนื้อหาภายในเล่มคู่มือ ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ และด้านการถ่ายทอดความรู้ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุด (M = 4.75)

2567
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างสื่อมัลติมิเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน 2) ประเมินประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน 3) ศึกษาความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมินชิ้นงานของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน วิชาการงานอาชีพ กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสมของสื่อมัลติมีเดีย แบบประเมินทักษะ การปฏิบัติงาน และแบบประเมินความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดีย วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย E1/E2 ตามเกณฑ์แบบ 80/80 และค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมิน ผลการวิจัย พบว่า 1) ความเหมาะสมด้านเนื้อหาของสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉลี่ย 4.90 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับดีมากทุกด้าน 2) ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดียเรื่องการแกะสลักพื้นฐาน มีค่าเท่ากับ 80.50/85.25 เป็นไปตามเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพ 80/80 3) การประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้ประเมิน ในภาพรวมเท่ากับ 0.99 แสดงว่าความสอดคล้องกันมาก และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียเรื่องการแกะสลักพื้นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด งานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะให้จัดทำสื่อการสอนสำหรับหน่วยการเรียนรู้การแกะสลักผักและผลไม้อื่น ๆ ในวิชาการงานอาชีพ และศึกษารูปแบบการสอนทักษะการแกะสลักพื้นฐานที่สอดคล้องกับคุณลักษณะของผู้เรียนเพื่อให้เกิด การเรียนรู้ตามเป้าหมายของหลักสูตร

2567
การพัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดีย เรื่องพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดมหาวงษ์
การพัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดีย เรื่องพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดมหาวงษ์

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของสื่อการสอนมัลติมีเดีย เรื่องพัด จักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียน วัดมหาวงษ์ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอนมัลติมีเดีย เรื่องพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดมหาวงษ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดมหาวงษ์ ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อการสอนมัลติมีเดียพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย แบบทดสอบภาคปฏิบัติ แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อสื่อพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้เรื่องพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดมหาวงษ์ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 จากการวิเคราะห์ผลประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้เรื่องพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ คะแนนจากการฝึกทักษะระหว่างเรียน (E1) และคะแนนจากการทดสอบทักษะปฏิบัติชิ้นงานหลังเรียน (E2) ของกลุ่มตัวอย่างมีค่าเท่ากับ 81.75/89.87 2) นักเรียนมี ความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ต่อสื่อการเรียนรู้เรื่องพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ จากการวิเคราะห์ผลความพึงพอใจต่อสื่อการเรียนรู้เรื่องพัดจักสานไม้ไผ่ลายขิดไทย วิชาการงานอาชีพ โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.72

2567
แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ
แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ 2) ระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ 3) เปรียบเทียบระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ และ 4) นำเสนอแนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำรายย่อยที ผลิตและจำหน่ายหม่ำในจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 50 ราย โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และนำข้อมูลที ได้มาดำเนินการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ประเภทของผลิตภัณฑ์หม่ำที ผลิตและจำหน่ายคือ หม่ำข้อประเภทหม่ำเนื้อวัว และหม่ำพก ประเภทหม่ำเนื้อหมู ซึ่งมีปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือนไม่เกิน 1,000 ชิ้น ระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำ ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จัดจำหน่าย การตลาดทางตรง (ขายหน้าร้าน) มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือน 30 ,001– 40,000 บาท และส่วนใหญ่ธุรกิจตั้งอยู่ที อำเภอคอนสวรรค์ 2) ผู้ประกอบการรายย่อยมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที มีค่าเฉลี่ย สูงสุดคือ ด้านการผลิต รองลงมาคือ ด้านวัตถุดิบ และน้อยที สุดคือ ด้านการบริหารจัดการ 3) ผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อยจังหวัดชัยภูมิ มีปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำ ช่องทางการจัดจำหน่าย รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือน และทำเลที่ตั้งของร้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที ระดับ .05 และ 4) แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ คือ ควรร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อปรับปรุงวัตถุดิบและราคา วางแผนการผลิตช่วงเทศกาล เตรียมวัตถุดิบและแรงงานให้เพียงพอ พัฒนาผลิตภัณฑ์ตามกระแสนิยม หาแหล่งเงินทุนจากรัฐบาลอย่างคุ้มค่า และอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มทักษะและประสิทธิภาพ รวมถึงพัฒนาทักษะ การวางแผนเชิงกลยุทธ์

2567
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจาก ผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2567 และเรียนวิชาการงานอาชีพพื้นฐาน จำนวน 30 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัยคือ สื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด แบบประเมินความเหมาะสมของสื่อการสอนเรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด แบบประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและวัตถุประสงค์ (IOC) เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด แบบประเมินทักษะปฏิบัติงาน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน เรื่องกระเป๋าจาก ผ้าสักหลาด สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าประสิทธิภาพสื่อ สำหรับความเหมาะสมสื่อการเรียนรู้จากการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญได้ค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.84, S.D.=0.30) และค่าความเหมาะสมแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.85, S.D.=0.36) ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ในภาพรวมเท่ากับ 93.67/91.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร โดยภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (M=4.75, S.D.=0.52) ซึ่งพบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุดคือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากสื่อการสอน อยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.78, S.D.=0.48) รองลงมาด้านเนื้อหา (M=4.74, S.D.=0.54) และด้านการสอน (M=4.73, S.D.=0.52) ตามลำดับ

2567