จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 114 )

บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรมการบริการ และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ และนวัตกรรมการบริการ ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของตัวแปร ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของบุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกับข้อมูล เชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและหัวหน้างานของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 279 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้าง บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มี 5 ปัจจัย ประกอบด้วย ภาวะผู้นำ การเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรมการบริการ และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผลการวิจัยพบว่าธุรกิจโรงแรมให้ความสำคัญต่อการมุ่งเน้นการตลาดมากที่สุด โดยนาข้อมูลทางการตลาดมาวิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทาให้เกิดความพึงพอใจในการใช้บริการ มีทัศนคติที่ดีต่อ ตราสินค้า นำไปสู่ความภักดีต่อตราสินค้าของลูกค้า จึงเกิดการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน ส่วนการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการมีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเช่นกัน โดยเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดการที่สะท้อนถึงความสามารถของธุรกิจโรงแรม

2565
บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย
บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับนวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว คุณค่าแบรนด์ขององค์กรและผลการดำเนินงานขององค์กร 2)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของนวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการ โลจิสติกส์ในประเทศไทย และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของตัวแปร ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของบุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทยกับข้อมูล เชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารระดับต้นขึ้นไปของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย จำนวน 303 คน/บริษัท เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้างผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นนวัตกรรมขององค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว และผลการดำเนินงานขององค์กรอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นความผูกพันต่อองค์กร และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรอยู่ในระดับมากที่สุด โมเดลจำลองสมการเชิงโครงสร้างมี ความเหมาะสมกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยพิจารณาจากค่าดัชนี ความสอดคล้องทางสถิติ 2/df =1.307, p =0.078, CFI =0.995, TLI =0.990, GFI =0.973, RMSEA =0.032, RMR =0.014 และมีความสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ได้กำหนดไว้ นวัตกรรมขององค์กร และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรมีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.001 ความผูกพันต่อองค์กร และการจัดการโลจิสติกส์ สีเขียว มีทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 นอกจากนี้ นวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร และการจัดการโลจิสติกส์สีเขียว มีอิทธิพลทางอ้อมต่อผลการดำเนินงานขององค์กรผ่านคุณค่าแบรนด์ขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญ ทางสถิติที่ 0.001

2565
ความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการกับการเปิดเผยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรที่มีต่อผลประกอบการบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการกับการเปิดเผยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรที่มีต่อผลประกอบการบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบการกำกับดูแลกิจการที่ส่งผลต่อผลประกอบการบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 2) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบการเปิดเผยความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมขององค์กรที่ส่งผลต่อผลประกอบการบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการเก็บข้อมูลจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 547 บริษัท การวิเคราะห์ด้วยข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสมการถดถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณผลการวิจัยประกอบด้วย 1) ตัวแปรอิสระมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม และมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และ 0.05 2) สมการถดถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณ ตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปร ที่มีความสัมพันธ์ คือ สัดส่วนการถือหุ้นที่ถือโดยผู้บริหาร (Stock) สัดส่วนของกรรมการอิสระ (PID) ขนาดของคณะกรรมการบริษัท (BSize) การควบอำนาจในการบริหารของประธานกรรมการ (DualCEO) สัดส่วนในการเข้าประชุมของคณะกรรมการบริษัท (PDBM) การเปิดเผยความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมขององค์กรความยุติธรรม (CSR) ที่มีผลต่ออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) อย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 และการวิเคราะห์ตัวแปรควบคุม คือ ขนาดของบริษัท (Size) และอัตราส่วนระหว่างกระแสเงินสดของบริษัทต่อทรัพย์สินทั้งหมดของกิจการ (CFO/TA) ที่ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

2565
ภูมิปัญญาวัฒนธรรมอาหารในงานพิธีกรรมทางศาสนาของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานคร
ภูมิปัญญาวัฒนธรรมอาหารในงานพิธีกรรมทางศาสนาของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานคร

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติความเป็นมาและบริบทชุมชนของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาภูมิปัญญาวัฒนธรรมอาหารในงานพิธีกรรมทางศาสนาของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานคร 3) จัดทำตำรับอาหารในพิธีกรรมสำรับอาหารอัมเบิ๊งสูตรดั้งเดิมของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวา ดำเนินงานวิจัยด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและวิจัยเชิงทดลองโดยศึกษาเก็บข้อมูลและทำการทดสอบประสาทสัมผัส กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาจำนวน 50 ครัวเรือนและปราชญ์ชุมชนจำนวน 10 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถามและแบบทดสอบทางประสาทสัมผัส 9-point hedonic scale สถิติที่ใช้วิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลนำเสนอด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานครนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวมุสลิมเชื้อสายชวาที่ย้ายการตั้งถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาจึงมีตั้งรกราก ขยายครัวเรือน ก่อสร้างมัสยิตเป็นศูนย์รวมจิตใจ จนเกิดเป็นชุมชนของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาจนถึงปัจจุบัน 2) ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวานั้นยังคงสืบทอดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอาหารสำรับใช้ในงานพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อรำลึกถึงผู้ล่วงลับนั้นคือสำรับอาหารอัมเบิ๊ง ซึ่งประกอบไปด้วยอาหาร 7 ชนิด คือ แกงอะป๊อรไก่, ผัดสะมากอแร๊ง, บัคกาแด๊ล, สะรุนแด๊ง, คะรังอะเซิ้ม, ปลาตองก๊อล และข้าวสวย 3) จัดทำตำรับอาหารในพิธีกรรมสำรับอาหารอัมเบิ๊งสูตรดั้งเดิมได้ผลการทดสอบจากทั้งหมด 5 สูตร พบว่า แกงอะป๊อรจากสูตรที่ 4 ผัดสะมากอแร๊งจากสูตรที่ 3 บัคกาแด๊ลจากสูตรที่ 3 สะรุนแด๊งจากสูตรที่ 1 คะรังอะเซิ้มจากสูตรที่ 4 และปลาต๊องก๊อลจากสูตรที่ 2 ได้รับการยอมรับมากที่สุด

2565
การศึกษาสมรรถนะและแก๊สไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลเมื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซลผสมก๊าซหุงต้ม
การศึกษาสมรรถนะและแก๊สไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลเมื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซลผสมก๊าซหุงต้ม

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดน้ำมันไบโอดีเซลกับก๊าซหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงร่วม โดยวิธีการป้อนก๊าซหุงต้มผ่านอุปกรณ์ผสมก๊าซกับอากาศก่อนเข้าท่อร่วมไอดี โดยการศึกษานี้ทำการทดสอบกับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ยี่ห้อคูโบต้า รุ่น ET70 ขนาด 401 cc ทดสอบที่ความเร็ว 1,500 rpm โดยการปรับเพิ่มภาระที่จ่ายให้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับจาก 500 W ไปจนถึงภาระสูงสุดที่ 3,500 W การปรับภาระเครื่องยนต์ให้เพิ่มขึ้นในแต่ละครั้งจะทำการปรับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ให้มีความเร็วรอบคงที่ ที่ 1,500 rpm และเครื่องยนต์ยังสามารถทำงานได้เป็นปกติ โดยการเพิ่มส่วนผสมของก๊าซหุงต้มให้ได้ปริมาณที่มากที่สุดร่วมกับน้ำมันไบโอดีเซลโดยจะอยู่ในช่วงร้อยละ 31-37 แล้วทำการบันทึกค่าต่าง ๆ ผลจากการทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ดีเซลเมื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซลผสมก๊าซหุงต้มเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำมันดีเซล พบว่าแรงบิดที่ได้จากเชื้อเพลิงไบโอดีเซลผสมก๊าซหุงต้มไม่แตกต่างจากการใช้น้ำมันดีเซล และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงพบว่าสูงกว่าน้ำมันดีเซลอยู่ร้อยละ 3 - 9 แต่ให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนที่สูงกว่าการใช้น้ำมันดีเซลเพียงอย่างเดียวร้อยละ 2 - 5 โดยสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการใช้น้ำมันดีเซลเพียงอย่างเดียวที่ร้อยละ 13 ด้านปริมาณควันดำของน้ำมันไบโอดีเซล (B20) ผสมก๊าซหุงต้มจะมีปริมาณควันดำน้อยกว่าทุกเชื้อเพลิง เมื่อเพิ่มอัตราส่วนผสมก๊าซหุงต้มมากขึ้น ให้เชื้อเพลิงทั้งสองชนิดพบว่าแรงบิดและปริมาณควันดำ มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากการศึกษาครั้งนี้พบว่าหากปรับอัตราส่วนผสมก๊าซหุงต้มเกินกว่าร้อยละ 37 จะทำให้เกิดการน็อกของเครื่องยนต์

2565