จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 90 )

ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 2) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด และการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60-69 ปี จานวน 460 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การนับจานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) และการวิเคราะห์แบบจาลองสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัยพบว่า การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า รูปแบบปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย มีความกลมกลืนกันกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 44.596 df = 62 p = 0.953 RMSEA = 0.000 CFI = 1.000 CMIN/DF = 0.719) โดยปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด ทั้ง 23 ตัวแปร มีค่าน้าหนักองค์ประกอบเป็นบวก โดยมี ค่าระหว่าง 0.616-0.826 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า โมเดลจาลองสมการเชิงโครงสร้างมีความกลมกลืนอย่างเหมาะสมกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 157.445 df = 166 p = 0.670 RMSEA = 0.000 CFI = 1.000 CMIN/DF = 0.948) และความสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย ได้แก่ 1) การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 2) การมุ่งเน้นการเรียนรู้ส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 3) การมุ่งเน้นการตลาดส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 4) การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 5) การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ในประเทศไทย 6) การมุ่งเน้นการเรียนรู้ส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ในประเทศไทย 7) การมุ่งเน้นการตลาดส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 8) การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย และ 9) การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดส่งผลทางตรงต่อ การตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย

บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรมการบริการ และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ และนวัตกรรมการบริการ ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของตัวแปร ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของบุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกับข้อมูล เชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและหัวหน้างานของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 279 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้าง บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มี 5 ปัจจัย ประกอบด้วย ภาวะผู้นำ การเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรมการบริการ และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผลการวิจัยพบว่าธุรกิจโรงแรมให้ความสำคัญต่อการมุ่งเน้นการตลาดมากที่สุด โดยนาข้อมูลทางการตลาดมาวิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทาให้เกิดความพึงพอใจในการใช้บริการ มีทัศนคติที่ดีต่อ ตราสินค้า นำไปสู่ความภักดีต่อตราสินค้าของลูกค้า จึงเกิดการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน ส่วนการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการมีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเช่นกัน โดยเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดการที่สะท้อนถึงความสามารถของธุรกิจโรงแรม

บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับนวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว คุณค่าแบรนด์ขององค์กรและผลการดำเนินงานขององค์กร 2)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของนวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการ โลจิสติกส์ในประเทศไทย และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของตัวแปร ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของบุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทยกับข้อมูล เชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารระดับต้นขึ้นไปของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย จำนวน 303 คน/บริษัท เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้างผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นนวัตกรรมขององค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว และผลการดำเนินงานขององค์กรอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นความผูกพันต่อองค์กร และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรอยู่ในระดับมากที่สุด โมเดลจำลองสมการเชิงโครงสร้างมี ความเหมาะสมกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยพิจารณาจากค่าดัชนี ความสอดคล้องทางสถิติ 2/df =1.307, p =0.078, CFI =0.995, TLI =0.990, GFI =0.973, RMSEA =0.032, RMR =0.014 และมีความสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ได้กำหนดไว้ นวัตกรรมขององค์กร และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรมีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.001 ความผูกพันต่อองค์กร และการจัดการโลจิสติกส์ สีเขียว มีทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 นอกจากนี้ นวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร และการจัดการโลจิสติกส์สีเขียว มีอิทธิพลทางอ้อมต่อผลการดำเนินงานขององค์กรผ่านคุณค่าแบรนด์ขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญ ทางสถิติที่ 0.001

ความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับดูแลกิจการกับการเปิดเผยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรที่มีต่อผลประกอบการบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบการกำกับดูแลกิจการที่ส่งผลต่อผลประกอบการบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 2) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบการเปิดเผยความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมขององค์กรที่ส่งผลต่อผลประกอบการบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการเก็บข้อมูลจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 547 บริษัท การวิเคราะห์ด้วยข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา โดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสมการถดถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณผลการวิจัยประกอบด้วย 1) ตัวแปรอิสระมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม และมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และ 0.05 2) สมการถดถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณ ตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปร ที่มีความสัมพันธ์ คือ สัดส่วนการถือหุ้นที่ถือโดยผู้บริหาร (Stock) สัดส่วนของกรรมการอิสระ (PID) ขนาดของคณะกรรมการบริษัท (BSize) การควบอำนาจในการบริหารของประธานกรรมการ (DualCEO) สัดส่วนในการเข้าประชุมของคณะกรรมการบริษัท (PDBM) การเปิดเผยความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมขององค์กรความยุติธรรม (CSR) ที่มีผลต่ออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) อย่างมีนัยสำคัญที่ 0.05 และการวิเคราะห์ตัวแปรควบคุม คือ ขนาดของบริษัท (Size) และอัตราส่วนระหว่างกระแสเงินสดของบริษัทต่อทรัพย์สินทั้งหมดของกิจการ (CFO/TA) ที่ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ (NPM) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ภูมิปัญญาวัฒนธรรมอาหารในงานพิธีกรรมทางศาสนาของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานคร
การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติความเป็นมาและบริบทชุมชนของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาภูมิปัญญาวัฒนธรรมอาหารในงานพิธีกรรมทางศาสนาของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานคร 3) จัดทำตำรับอาหารในพิธีกรรมสำรับอาหารอัมเบิ๊งสูตรดั้งเดิมของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวา ดำเนินงานวิจัยด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและวิจัยเชิงทดลองโดยศึกษาเก็บข้อมูลและทำการทดสอบประสาทสัมผัส กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาจำนวน 50 ครัวเรือนและปราชญ์ชุมชนจำนวน 10 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถามและแบบทดสอบทางประสาทสัมผัส 9-point hedonic scale สถิติที่ใช้วิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลนำเสนอด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาในกรุงเทพมหานครนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวมุสลิมเชื้อสายชวาที่ย้ายการตั้งถิ่นฐานมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาจึงมีตั้งรกราก ขยายครัวเรือน ก่อสร้างมัสยิตเป็นศูนย์รวมจิตใจ จนเกิดเป็นชุมชนของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวาจนถึงปัจจุบัน 2) ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายชวานั้นยังคงสืบทอดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอาหารสำรับใช้ในงานพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อรำลึกถึงผู้ล่วงลับนั้นคือสำรับอาหารอัมเบิ๊ง ซึ่งประกอบไปด้วยอาหาร 7 ชนิด คือ แกงอะป๊อรไก่, ผัดสะมากอแร๊ง, บัคกาแด๊ล, สะรุนแด๊ง, คะรังอะเซิ้ม, ปลาตองก๊อล และข้าวสวย 3) จัดทำตำรับอาหารในพิธีกรรมสำรับอาหารอัมเบิ๊งสูตรดั้งเดิมได้ผลการทดสอบจากทั้งหมด 5 สูตร พบว่า แกงอะป๊อรจากสูตรที่ 4 ผัดสะมากอแร๊งจากสูตรที่ 3 บัคกาแด๊ลจากสูตรที่ 3 สะรุนแด๊งจากสูตรที่ 1 คะรังอะเซิ้มจากสูตรที่ 4 และปลาต๊องก๊อลจากสูตรที่ 2 ได้รับการยอมรับมากที่สุด