จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 102 )

การพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง
การพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลในพื้นที่และศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง และ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยเทคนิคการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) เก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 2 ขั้นตอน คือ 1) EDFR รอบที่ 1 การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-DepthInterview) จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูล 19 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลมาสังเคราะห์ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง 2) EDFR รอบที่ 2 และรอบที่ 3 การตอบแบบสอบถาม จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลกลุ่มเดิม ให้พิจารณาคำตอบและยืนยันความสอดคล้องของข้อมูลหาฉันทามติ (Consensus) ของกลุ่มโดยการคำนวณค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ จากนั้นนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง มากำหนดแนวโน้มในอนาคตของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง ผลการวิจัยพบว่า 1. ข้อมูลในพื้นที่และศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ชุมชนท่องเที่ยวOTOP นวัตวิถี จังหวัดพัทลุง ประกอบด้วย 1) คุณสมบัติในเชิงพื้นที่ คือ 1.1) ชุมชนมีความหลากหลายและโดดเด่นทางวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ 1.2) ชุมชนมีความตระหนักรู้ในคุณค่าของชุมชนโดยเจ้าของวัฒนธรรม 2) คุณสมบัติในเชิงกระบวนการ คือ 2.1) นักท่องเที่ยวกับชุมชนเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม 2.2) นักท่องเที่ยวมีประสบการณ์ตรงร่วมกับเจ้าของวัฒนธรรม2.3) นักท่องเที่ยวเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพื้นที่ท่องเที่ยว 2.4) ไม่ทำลายคุณค่าของชุมชนแต่กลับนำไปสู่ความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม 2. การพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีจังหวัดพัทลุง ประกอบด้วย 1) การพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน คือ 1.1) ด้านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นแผนงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ต้องอาศัยความพร้อมและความเข้มแข็งของสมาชิกในชุมชนร่วมกับภาคีเครือข่ายจากหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ขับเคลื่อนแผนงาน 1.2) ด้านการจัดการเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต โดยสิ่งสำคัญต้องให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนทั้งระบบ 1.3) ด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่สืบทอดอย่างยาวนานรุ่นต่อรุ่นจากคนในท้องถิ่น เป็นสิ่งที่ต้องอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป 1.4) ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม จะยังเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง เมื่อชุมชนนำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์มีนักท่องเที่ยวเข้าไปในพื้นที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในชุมชน 1.5) ด้านการบริการและความปลอดภัย ยังคงต้องได้รับการพัฒนาและแก้ปัญหา ทั้งส่วนของการให้ความรู้ การเพิ่มจำนวนบุคลากร อาสาสมัคร อุปกรณ์ที่จำเป็นด้านความ ปลอดภัยและสุขภาพ 2) การพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ คือ 2.1) ชุมชนเชิงสร้างสรรค์ ต้องมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างเข้มแข็ง พยายามพัฒนาพื้นที่ สินค้า บริการและกิจกรรมท่องเที่ยว ให้มีความสร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงบริบทของท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว 2.2) การตลาดเชิงสร้างสรรค์ ยังต้องพัฒนาการตลาด สินค้า บริการ และกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง 2.3) การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ นักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์จากการเดินทางท่องเที่ยว มีความหลากหลาย การพัฒนายกระดับความสามารถของชุมชนให้มีสินค้าบริการ และกิจกรรมท่องเที่ยว นำเสนอออกมาในรูปแบบที่สร้างสรรค์ จะดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว โดยอาศัยนวัตกรรมสร้างสรรค์

2565
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะสำนักงานบัญชีทั่วไปเพื่อเข้าสู่การเป็นสำนักงานบัญชีคุณภาพในประเทศไทย
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะสำนักงานบัญชีทั่วไปเพื่อเข้าสู่การเป็นสำนักงานบัญชีคุณภาพในประเทศไทย

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของสมรรถนะสำนักงานบัญชีทั่วไปและสำนักงานบัญชีคุณภาพ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะสำนักงานบัญชีไทยเพื่อเข้าสู่สำนักงานบัญชีคุณภาพ 3) สร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะสำนักงานบัญชีทั่วไปเพื่อเข้าสู่การเป็นสำนักงานบัญชีคุณภาพในประเทศไทย การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยเทคนิคเดลฟายโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ 17 คน และใช้แบบสัมภาษณ์ปลายเปิดรอบที่ 1 พัฒนาไปสู่แบบสอบถามปลายปิดที่มี การตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้อง ในรอบที่ 2 และ 3 โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน โดยการใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม การจัดอันดับ ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และพิจารณาความสอดคล้องจากแนวโน้มความเป็นไปได้ในระดับมากขึ้นไป เพื่อหาค่าความสอดคล้อง ข้อมูลที่ได้นาไปสร้างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะสำนักงานบัญชีทั่วไปเพื่อเข้าสู่การเป็นสำนักงานบัญชีคุณภาพในประเทศไทยและใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อตรวจสอบความ ถูกต้องของรูปแบบ ผลวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะของสำนักงานบัญชีทั่วไปและสำนักงานบัญชีคุณภาพไม่แตกต่างกันอย่างมีสาระสำคัญเนื่องจากถูกบังคับเกณฑ์มาตรฐานการรายงานทางการเงินจากสภาวิชาชีพและกรมพัฒนาธุรกิจ เมื่อพิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ของงาน แต่วิธีและหลักเกณฑ์ในเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศทางการบัญชี และ 2.12) สภาพแวดล้อมในการทางาน และนำเอาผลสรุปที่ได้มาพัฒนารูปแบบสมรรถนะของสำนักงานบัญชีทั่วไปเพื่อเข้าสู่การเป็นสำนักงานบัญชีและความได้เปรียบทางการแข่งขันในภาพ 5.2 การปฏิบัติงานมีความแตกต่างกันในระดับปฏิบัติ รวมถึงความชัดเจนในรูปแบบการดำเนินงานของแต่ละสำนักงาน 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะสำนักงานบัญชีทั่วไปเพื่อเข้าสู่การเป็นสำนักงานบัญชีคุณภาพในประเทศไทย ประกอบด้วยปัจจัยภายนอก ได้แก่ 2.1) การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม 2.2) การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานรายงานทางการเงิน 2.3) การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและภาษีอากร 2.4) สภาวะการแข่งขัน 2.5) ความต้องการของลูกค้า ส่วนปัจจัยภายในได้แก่ 2.6) การปรับตัวของสำนักงานบัญชี 2.7) รูปแบบการดำเนินงาน 2.8) ประสิทธิภาพการบริหารเชิงกลยุทธ์ 2.9) การมุ่งเน้นการตลาด 2.10) คุณภาพการบริการ 2.11) ประสิทธิภาพเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศทางการบัญชี และ 2.12) สภาพแวดล้อมในการทำงาน และนำเอาผลสรุปที่ได้มาพัฒนารูปแบบสมรรถนะของสำนักงานบัญชีทั่วไปเพื่อเข้าสู่การเป็นสำนักงานบัญชีและความได้เปรียบทางการแข่งขันในภาพ 5.2

2565
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย
ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 2) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด และการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุ 60-69 ปี จานวน 460 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การนับจานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) และการวิเคราะห์แบบจาลองสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัยพบว่า การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า รูปแบบปัจจัยการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ การมุ่งเน้นการเรียนรู้ การมุ่งเน้นการตลาด การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด และการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย มีความกลมกลืนกันกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 44.596 df = 62 p = 0.953 RMSEA = 0.000 CFI = 1.000 CMIN/DF = 0.719) โดยปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาด ทั้ง 23 ตัวแปร มีค่าน้าหนักองค์ประกอบเป็นบวก โดยมี ค่าระหว่าง 0.616-0.826 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า โมเดลจาลองสมการเชิงโครงสร้างมีความกลมกลืนอย่างเหมาะสมกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (Chi-square = 157.445 df = 166 p = 0.670 RMSEA = 0.000 CFI = 1.000 CMIN/DF = 0.948) และความสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย ได้แก่ 1) การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 2) การมุ่งเน้นการเรียนรู้ส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 3) การมุ่งเน้นการตลาดส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 4) การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งผลทางตรงต่อการรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดเพื่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 5) การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ในประเทศไทย 6) การมุ่งเน้นการเรียนรู้ส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ในประเทศไทย 7) การมุ่งเน้นการตลาดส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย 8) การยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย และ 9) การรับรู้ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการตลาดส่งผลทางตรงต่อ การตัดสินใจใช้บริการธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย

2565
บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรมการบริการ และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ และนวัตกรรมการบริการ ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของตัวแปร ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของบุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกับข้อมูล เชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและหัวหน้างานของธุรกิจโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 279 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้าง บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มี 5 ปัจจัย ประกอบด้วย ภาวะผู้นำ การเปลี่ยนแปลง การมุ่งเน้นการตลาด การมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรมการบริการ และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผลการวิจัยพบว่าธุรกิจโรงแรมให้ความสำคัญต่อการมุ่งเน้นการตลาดมากที่สุด โดยนาข้อมูลทางการตลาดมาวิเคราะห์ วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทาให้เกิดความพึงพอใจในการใช้บริการ มีทัศนคติที่ดีต่อ ตราสินค้า นำไปสู่ความภักดีต่อตราสินค้าของลูกค้า จึงเกิดการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน ส่วนการมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการมีอิทธิพลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเช่นกัน โดยเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดการที่สะท้อนถึงความสามารถของธุรกิจโรงแรม

2565
บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย
บุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับนวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว คุณค่าแบรนด์ขององค์กรและผลการดำเนินงานขององค์กร 2)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของนวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการ โลจิสติกส์ในประเทศไทย และ 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของตัวแปร ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของบุพปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทยกับข้อมูล เชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารระดับต้นขึ้นไปของธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศไทย จำนวน 303 คน/บริษัท เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โมเดลสมการโครงสร้างผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นนวัตกรรมขององค์กร การจัดการโลจิสติกส์สีเขียว และผลการดำเนินงานขององค์กรอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นความผูกพันต่อองค์กร และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรอยู่ในระดับมากที่สุด โมเดลจำลองสมการเชิงโครงสร้างมี ความเหมาะสมกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยพิจารณาจากค่าดัชนี ความสอดคล้องทางสถิติ 2/df =1.307, p =0.078, CFI =0.995, TLI =0.990, GFI =0.973, RMSEA =0.032, RMR =0.014 และมีความสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ได้กำหนดไว้ นวัตกรรมขององค์กร และคุณค่าแบรนด์ขององค์กรมีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.001 ความผูกพันต่อองค์กร และการจัดการโลจิสติกส์ สีเขียว มีทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 นอกจากนี้ นวัตกรรมขององค์กร ความผูกพันต่อองค์กร และการจัดการโลจิสติกส์สีเขียว มีอิทธิพลทางอ้อมต่อผลการดำเนินงานขององค์กรผ่านคุณค่าแบรนด์ขององค์กรอย่างมีระดับนัยสำคัญ ทางสถิติที่ 0.001

2565