จำนวนงานวิจัย ( 91 )

การจัดการความรู้ด้านอาหารของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์สู่เชิงพาณิชย์
การจัดการความรู้ด้านอาหารของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์สู่เชิงพาณิชย์

งานวิจัยเรื่อง การจัดการความรู้ด้านอาหารของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์เพื่อการนาไปใช้ประโยชน์สู่เชิงพาณิชย์ เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและรวบรวมองค์ความรู้มีวัตถุประสงค์อยู่ 2 ข้อ ประกอบด้วย 1. เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ด้านอาหารของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ และ 2. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลความรู้ด้านอาหารของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ การจัดการความรู้ด้านอาหารของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครมีบทบาทสาคัญในการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร โดยการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพทาให้นักศึกษาและบุคลากรสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรที่จาเป็นได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้การเรียนรู้และการวิจัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การถ่ายทอดความรู้จากคณาจารย์สู่ศิษย์ยังเป็นไปอย่างราบรื่นช่วยเสริมสร้างความพร้อมในการประกอบอาชีพเมื่อจบการศึกษา การจัดการความรู้ยังมีบทบาทสาคัญในการรักษาและสืบทอดความรู้และทักษะทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ซึ่งทำให้ความรู้ที่ได้รับการพัฒนาสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยให้นักศึกษาและบุคลากรสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล และพัฒนาทักษะที่จาเป็นต่อการทำงานในอนาคต นอกจากนี้ การจัดการความรู้ที่มีคุณภาพยังส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับสากล เปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมอาหาร การวิจัยและพัฒนาที่เกิดจากการจัดการความรู้ที่ดีนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารไทยในตลาดโลก ทำให้ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครสามารถคงความเป็นผู้นำในด้านการศึกษาและการวิจัยในสาขาวิชานี้ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสถาบันและระดับประเทศ

2567
การเปรียบเทียบคุณภาพน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขตภาคกลาง โดยใช้แผนการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์
การเปรียบเทียบคุณภาพน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขตภาคกลาง โดยใช้แผนการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาในเขต ภาคกลางจากแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันตก (แม่น้ำแม่กลอง) และแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันออก (แม่น้ำเจ้าพระยา) และความแตกต่างของฤดูกาล และจุดเก็บตัวอย่างน้ำ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำดิบสำหรับ การผลิตน้ำประปา โดยวิเคราะห์คุณภาพน้ำดิบจาก 5 พารามิเตอร์ ประกอบด้วย ค่าพีเอช (pH) ค่าการนำไฟฟ้า (EC) ค่าความเค็ม (Salinity) ค่าความขุ่น (Turbidity) และค่าของแข็งละลายน้ำ (TDS) ทำการเก็บตัวอย่างน้ำจากจุดเก็บตัวอย่าง ครอบคลุม 3 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ผลการศึกษาพบว่า การเปรียบเทียบพารามิเตอร์ที่บ่งชี้คุณภาพน้ำดิบจากแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันตก และแหล่งน้ำดิบตะวันออก ในฤดูหนาวพารามิเตอร์ทั้ง 5 ค่าที่ทำการศึกษา มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 สำหรับในฤดูร้อน และฤดูฝน พารามิเตอร์ที่ทำการศึกษาจากแหล่งน้ำดิบทั้ง 2 แหล่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ยกเว้น ค่าความขุ่นไม่มีความแตกต่างกัน และเมื่อทำการเปรียบเทียบความแตกต่างของคุณภาพน้ำดิบ ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) พบว่า ความแตกต่างระหว่างฤดูกาลมีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำดิบในพารามิเตอร์ที่ทำการศึกษา สำหรับแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันตก (แม่น้ำ แม่กลอง) ความแตกต่างระหว่างฤดูกาลจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าการนำไฟฟ้า ค่าความขุ่น และค่าของแข็งละลายน้ำที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะฤดูร้อนจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าพารามิเตอร์ มากที่สุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันออก (แม่น้ำเจ้าพระยา) ความแตกต่างระหว่างฤดูกาลจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าความเค็ม ค่าความขุ่น และค่าของแข็งละลายน้ำที่แตกต่างกัน โดยฤดูร้อนจะมีผลต่อค่าความเค็มมากที่สุด ขณะที่ฤดูหนาวจะมีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงของค่าความขุ่น และค่าของแข็งละลายน้ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05

2567
การแปรรูปผลิตภัณฑ์เส้นใยกก ไหม ฝ้าย ผักตบชวาสู่เชิงพาณิชย์โดยความร่วมมือของประชาชนในชุมชนตำบลคุ้งกระถิน อ.เมือง จังหวัดราชบุรีและชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก
การแปรรูปผลิตภัณฑ์เส้นใยกก ไหม ฝ้าย ผักตบชวาสู่เชิงพาณิชย์โดยความร่วมมือของประชาชนในชุมชนตำบลคุ้งกระถิน อ.เมือง จังหวัดราชบุรีและชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างชุมชนให้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ให้กับชุมชนมีความเข้มแข็งต่อไป กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนใน จำนวน 234 คน สุ่มอย่างง่ายตามตารางยามาเน่ และข้อมูลเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์ผู้นำกลุ่มชุมชน ประชาชนในกลุ่มชุมชน จำนวน 20 คน คณะผู้วิจัยได้สอบถามให้ได้มาซึ่งความต้องการของผู้บริโภคและตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการและท้องตลาด แล้วประเมินรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน โดยปราชญ์ชาวบ้านที่ร่วมแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน จำนวน 3 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ผลิตภัณฑ์จากเส้นใยพืช ผ้าทอจากเส้นใยพืช จำนวน 3 ท่าน เพื่อประเมินความเหมาะสมของรูปแบบในการประยุกต์ เป็นผลิตภัณฑ์ จากนั้นสร้างต้นแบบแล้ว ประเมินผลวัดระดับความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์หัตถกรรม จากเส้นใยพืชที่มีในท้องถิ่นมาผสมผสานเส้นใยไหม เส้นใยฝ้าย ผสมผสานให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยสวยงามได้มาตรฐาน สามารถออกแบบได้ตรงกับความต้องการของท้องตลาด ผู้บริโภค ตรงตามท้องตลาดและผู้ประกอบการต้องการรับซื้อ การดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณควบคู่กันโดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความพึงพอใจ เป็นเครื่องมือวิจัย เพื่อเก็บรวบรวม ข้อมูลพิจารณาความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญและความพึงพอใจจากกลุ่มเป้าหมาย วิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (SD) แปลผลในรูปความเรียง ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างในชุมชนกลุ่มสร้างผลิตภัณฑ์จากเส้นใยพืช อำเภอเมือง จังหวัดนครนายกและกลุ่มสร้างผลิตภัณฑ์ตำบลคุ้งกระถิน อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี คิดว่าพืชในท้องถิ่นนี้เหมาะสมกับการนำไปทำผลิตภัณฑ์ สามารถนำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์การใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ มีความต้องการประยุกต์ใช้วัสดุอื่น ๆ ในท้องถิ่นร่วมประกอบ กับตัวผลิตภัณฑ์และเส้นใยจากกก ไหม ฝ้าย ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ที่มีต่อการประเมินรูปแบบผลิตภัณฑ์ หัตถกรรมจากเส้นใยพืช โดยรวมอยู่ในระดับมาก พบว่าผลิตภัณฑ์เหมาะสมกับการใช้งาน การออกแบบผลิตภัณฑ์มีความสวยงาม ลวดลายทันสมัย เป็นที่นิยม สามารถใช้สอยได้ มีความสะดวกสบายในการใช้ มีค่าเฉลี่ยระดับมาก ผลวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกประชาชน ผู้นำชุมชน และปราชญ์ชาวบ้านทั้ง 2 จังหวัด มีดังนี้ 1) ต้องการสร้างอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับครอบครัว ชุมชน 2) ต้องการทุนงบประมาณสนับสนุนในการทำผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่น ๆ 3) ต้องการวิทยาการหรือผู้เชี่ยวชาญมาสอนฝึกอบรมการสร้างผลิตภัณฑ์แปลกใหม่ทันสมัยที่ตรงกับความต้องการของประชาชน ผู้บริโภค เพื่อการพัฒนาให้ได้มาตรฐานสู่เชิงพาณิชย์ 4) ต้องการสร้างผลิตภัณฑ์จากเส้นใยพืช เช่น แฝก ฝ้าย ไหม กก สับปะรด ให้มีความหลากหลายทันสมัยสวยงาม เป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ เครื่องประดับ เครื่องอุปโภคบริโภค ที่ทันสมัยตรงกับความสนใจและต้องการของท้องตลาด 5) ต้องการสถานที่รับซื้อผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะ กลุ่มตัวอย่าง ต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน ที่ทันสมัยเป็นที่นิยมของท้องตลาดผู้ประกอบการ มีสถานที่รับซื้อผลิตภัณฑ์เป็นประจำต่อเนื่อง ต้องการได้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาพัฒนาบุคลากรในชุมชนให้มีความรู้เชี่ยวชาญด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเส้นใยพืชที่มีในท้องถิ่น ที่มีความรู้ความสามารถ ทำให้บุคลากรในชุมชนมีไหวพริบมีความถนัด จนสามารถได้รับความรู้จากวิทยากรได้รวดเร็ว และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้คนในชุมชนได้ต่อไปจนรุ่นสู่รุ่น และต้องการให้รัฐบาล หน่วยงานต่าง ๆ ให้การสนับสนุนเรื่องงบประมาณ ต้นทุนการผลิต อุปกรณ์การผลิต ครุภัณฑ์ ที่เพียงพอสำหรับทำงานต้นแบบที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่งคง ยั่งยืนตลอดไป เพื่อพัฒนาและสามารถฝึกทักษะการพัฒนาการผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนให้ได้มาตรฐาน ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับของท้องตลาดผู้ประกอบการ ด้านการตลาด สามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้หลากหลาย ให้สะดวกรวดเร็วในการสั่งซื้อ เช่น ออนไลน์ เว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ต้องการงบประมาณสนับสนุนในช่วงดำเนินการ ให้สามารถทำงานได้สำเร็จ และได้กำไร พอที่จะลงทุนการผลิตได้ด้วยตนเอง เพราะยังไม่เคยได้รับการสนับสนุน ขาดเงินงบประมาณในการดำเนินการต่อไปให้สำเร็จ การแก้ปัญหาต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และผู้ประกอบการร่วมมือกับชุมชน ช่วยจัดจำหน่ายขายผลิตภัณฑ์ให้กับชุมชนเป็นประจำ ความต้องการของผู้บริโภคและผู้รับซื้อทั้งปลีกและส่ง และมีความต้องการประยุกต์ใช้วัสดุอื่น ๆ ในท้องถิ่นร่วมแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก เส้นใยจากกก ไหม ฝ้าย เพื่อให้มีความประณีต ละเอียดและมีความสวยงาม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของชุมชน ให้มีอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่องตลอดไป

2567
ลักษณะความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ระหว่างปี 2561-2565
ลักษณะความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ระหว่างปี 2561-2565

ธนาคารพาณิชย์เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากส่งผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาลักษณะความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ระหว่างปี 2561-2565 โดยรวบรวมข้อมูลจากแบบแสดงรายการข้อมูลประจาปี (56-1) ของธนาคารพาณิชย์จานวน 11 แห่ง โดยวิเคราะห์ลักษณะความเสี่ยงจากการเปิดเผยตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้เป็นกรอบในการเปิดเผย ได้แก่ ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk) ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทางการเงิน (Financial Risk) และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance Risk) มีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของลักษณะความเสี่ยงในแต่ละช่วงเวลา ผลการศึกษาพบว่าลักษณะความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงในรอบ 5 ปี ของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการเปิดเผยลักษณะความเสี่ยงตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกาหนดให้มีการเปิดเผยดังกล่าว แต่หากขยายให้มีการเปิดเผยความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทางการเงิน (Financial Risk) เพิ่มเติมด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินธุรกิจด้วยอาจจะเกิดประโยชน์มากขึ้น ดังนั้นการเปิดเผยที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ผู้ลงทุน รวมถึงธนาคารเอง ควรมีการเปิดเผยความเสี่ยง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk) ความเสี่ยงด้านรายงาน (Report Risk) และความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance Risk) งานวิจัยฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ระหว่างปี 2561-2565 การเรียนรู้ความเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อ คณะกรรมการกากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สามารถนาผลการศึกษาครั้งนี้ไปใช้เป็นแนวทางในการออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการเปิดเผยความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และสามารถประเมินความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตและจัดทาแผนป้องกันความ

2566