จำนวนงานวิจัย ( 69 )

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการออกแบบและผลิตเครื่องประดับ : กรณีศึกษาเครื่องประดับจังหวัดเพชรบุรี
การวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการออกแบบและผลิตเครื่องประดับเพชรบุรีในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสนใจในการสืบทอด และสร้างแรงงานฝีมือรุ่นใหม่ในงานเครื่องประดับเพชรบุรี โดยมีพื้นที่ศึกษา ณ ตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ทั้งนี้เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องประดับเพชรบุรี รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคเครื่องประดับเพชรบุรี ผ่านการใช้แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินความพึงพอใจในการเก็บข้อมูลในงานวิจัยครั้งนี้ จากการศึกษการนำรูปแบบเครื่องประดับ “กระดุมทอง” ที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องประดับเพชรบุรี เนื่องด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน ผู้วิจัยได้นารูปแบบเครื่องประดับดังกล่าวสร้างเป็นแบบจำลอง 3 มิติ ผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (MatrixGold) และสร้างเป็นต้นแบบตัวเรือนเครื่องประดับจากวัสดุแว็กซ์เหลว ด้วยเทคโนโลยีการขึ้นรูปด้วยเครื่องสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็ว (Rapid Prototype Machine, RP) ซึ่งสามารถสร้างต้นแบบที่มีโครงสร้างซับซ้อนได้เป็นอย่างดี โดยใช้วัสดุเป็นแว็กซ์เหลวที่สามารถนำไปหล่อตัวเรือนได้เลย ในส่วนของกระบวนการหล่อตัวเรือนเครื่องประดับนั้น ผู้วิจัยใช้การหล่อต้นแบบด้วยเครื่องหล่อระบบสุญญากาศ กระบวนการดังกล่าวใช้ระยะเวลาการผลิต 3 – 5 วัน จากเดิมที่ผลิตด้วยมือใช้เวลา 7-14 วัน เมื่อได้ต้นแบบแล้วสามารถนาต้นแบบที่ได้สร้างเป็นพิมพ์ยาง เพื่อใช้ในการผลิตในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องสร้างต้นแบบใหม่ การใช้เทคโนโลยีในการผลิตเป็นกระบวนการผลิตที่สามารถลดเวลา ลดต้นทุนในการผลิต และยังสามารถผลิตได้จำนวนมากในครั้งเดียว อีกทั้งยังสามารถปรับแก้ต้นแบบก่อนการผลิตได้อีกด้วย ผลการวิเคราะห์แบบประเมินความพึงพอใจกลุ่มผู้บริโภค ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการออกแบบและผลิตเครื่องประดับเพชรบุรี จานวน 100 คน พบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ( =4.74) โดยมีส่วนค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=0.47)

การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบสืบสอบเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีวิจารณญาณสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษตามแนวคิดการเรียนรู้แบบสืบสอบ และ2) ศึกษาประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการอ่านเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาระดับปริญญาบัณฑิต กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ชั้นปีที่ 3 จำนวน 41 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษตามแนวคิดการเรียนรู้แบบสืบสอบ และแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีวิจารณญาณ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษตามแนวคิดการเรียนรู้แบบสืบสอบ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นตอนที่ 2 การสำรวจและค้นหา (Exploration) ขั้นตอนที่ 3 การอธิบายและหาข้อสรุป (Explanation) ขั้นตอนที่ 4 การขยายความรู้ (Elaboration) ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผล (Evaluation) 2) ผลการศึกษาประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการอ่านที่พัฒนาขึ้น พบว่า ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษากลุ่มทดลอง หลังการทดลองสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

การพัฒนาระบบฐานข้อมูลพันธุกรรมพืช และวัฒนธรรมพื้นถิ่น ของคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลพันธุกรรมพืช และ ข้อมูลวัฒนธรรมพื้นถิ่น ที่ได้จากการสารวจโดยคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และ เพื่อสนองพระราชดาริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ซึ่งเป็นภารกิจที่สาคัญของมหาวิทยาลัยฯ ในการรวบรวมข้อมูลพันธุกรรมพืชที่หายาก และ รวบรวมข้อมูลวัฒธรรมพื้นที่ทรงคุณค่าไม่ให้สูญหาย กับทั้งเพื่อความสะดวกในการสืบค้นข้อมูล ระบบดังกล่าวถูกออกแบบให้สามารถจัดเก็บข้อมูล และ สืบค้นข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ โดยที่การจัดเก็บข้อมูลแบ่งตามหัวข้อคือ ข้อมูลพื้นฐานของท้องถิ่น ข้อมูลการประกอบอาชีพ ข้อมูลด้านกายภาพ ข้อมูลประวัติหมู่บ้าน ชุมชน และวิถีชุมชน ข้อมูลการใช้ประโยชน์จากพืช ข้อมูลการใช้ประโยชน์จากสัตว์ ข้อมูลการใช้ประโยชน์ชีวภาพอื่นๆ ข้อมูลภูมิปัญญา ข้อมูลแหล่งทรัพยากร และ โบราณคดี ผลการประเมินระบบจาก นักศึกษา คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และ ประชาชนทั่วไป ที่ใช้งานระบบ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ ประสิทธิภาพของระบบได้ผลร้อยละ 4.34 จากคะแนนเต็ม 5 และ ความพึงพอใจ ได้ผลร้อยละ 4.51 จากคะแนนเต็ม 5

พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรภายใต้วิถีใหม่ (New Normal)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วสมุนไพรภายใต้วิถีใหม่ (New Normal) 2. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรภายใต้วิถีใหม่ (New Normal) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่ซื้อ หรือ ใช้ ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร ประเภทผลิตภัณฑ์ชำระล้าง หรือทำความสะอาดมือที่ส่วนผสมมาจากสมุนไพร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือใน เก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่ม (การหาค่าที) การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรที่มากกว่า 2 กลุ่ม โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการศึกษาพบว่า 1 ผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 21-30 ปี มีสถานภาพโสดมากกว่าสมรส/อยุ่ด้วยกัน การศึกษาส่วนใหญ่ระดับปริญญาตรี รองลงมาคือ ระดับระดับปริญญาโท และต่ำกว่าปริญญาตรี ตามลำดับ อาชีพส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน รองลงมา นักเรียน/นักศึกษา และธุรกิจส่วนตัว/อิสระ ตามลำดับ รายได้ส่วนใหญ่มีรายได้ต่อเดือน 15,001-30,000 บาท รองลงมา รายได้ต่อเดือน 30,001-45,000 บาท และรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท ตามลำดับ 2 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุด โดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีความคิดเห็นมากที่สุดในข้อ ความปลอดภัยกับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร ผลิตภัณฑ์มีสีตามธรรมชาติ ปราศจากการแต่งสีผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นตามธรรมชาติปราศจากน้ำหอม 3 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านราคา พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุดโดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีความคิดเห็นมากที่สุดในข้อ ราคาเหมาะสมกับปริมาณบรรจุของผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร ราคาผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรเหมาะสมกับคุณภาพ ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรมีความคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับ และผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากในข้อ ราคาผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรแพงกว่าผลิตภัณฑ์สุขอนามัยทั่วไป 4 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านช่องทางการจัดจำหน่าย พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุดโดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีความคิดเห็นมากที่สุดในข้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรมีหลากหลายช่องทางการขาย หาซื้อได้ง่าย เช่น ห้างสรรพสินค้าร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น วิธีการชำระเงินที่มีความหลากหลาย เช่น การจ่ายด้วยพร้อมเพย์ เป๋าตังค์ เงินสด เป็นต้น การจัดส่งผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรสะดวกรวดเร็ว ถึงมือผู้บริโภคในเวลาที่ต้องการ และผู้บริโภคระดับมีความคิดเห็นมากในข้อการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรจากช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook และ Line 5 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านการส่งเสริมการตลาด พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุด โดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ด้านการได้รับข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรอย่างดี เช่น Brochure แนะนำผลิตภัณฑ์ และ ผ่านสื่อโซเซียลมีเดีย การมีประสบการณ์การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร กิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ โฆษณาทางสื่อโซเซียลมีเดีย การจัดแสดงสินค้า ณ จุดจำหน่ายตาม ร้านค้าต่าง ๆ หรือ งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1. ผู้บริโภคที่มีอายุแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ท่านเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีสถานภาพแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีอาชีพแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่ การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกันกัน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้าน ความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเนื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 2. ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านราคาผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และฯ ด้านเนื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเนื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05

หลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing ที่มีต่อคุณภาพงานสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีขนาดเล็กในประเทศไทย
งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing ที่มีต่อคุณภาพงานสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีขนาดเล็กในประเทศไทย โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 313 ราย ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า หลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing ที่มีต่อคุณภาพงานสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีขนาดเล็กในประเทศไทยมีความสัมพันธ์ในทางเดียวกันกับหลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ ให้ความสำคัญในเรื่องจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพสอบบัญชี รองลงมาเป็นด้านความรู้ความสามารถของผู้สอบบัญชี ด้านการกำกับดูแลที่ดี ด้านประสิทธิภาพของการควบคุมภายใน และคุณภาพงานสอบบัญชี ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่มองว่าหลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing มีประสิทธิภาพในการประมวลผล สะดวกรวดเร็วในการรายงานผล นอกจากนี้ ยังแสดงถึงความรู้ความสามารถของผู้สอบบัญชี และช่วยให้การปฏิบัติงานตรวจสอบอยู่ภายใต้กรอบของมาตรฐานการสอบบัญชี และจรรยาบรรณทางวิชาชีพบัญชีมากขึ้น