จำนวนงานวิจัย ( 104 )

การบูรณาการองค์ความรู้ในการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์ อาหาร ของที่ระลึก และเครื่องหอมจากส้มโอ เพื่อเพิ่มมูลทางการเกษตรกร ความยั่งยืนเชิงพาณิยช์ระดับชุมชน ของกลุ่มเครือข่ายวิสหกิจชุมชนส้มโอนครชัยศรี
การบูรณาการองค์ความรู้ในการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์ อาหาร ของที่ระลึก และเครื่องหอมจากส้มโอ เพื่อเพิ่มมูลทางการเกษตรกร ความยั่งยืนเชิงพาณิยช์ระดับชุมชน ของกลุ่มเครือข่ายวิสหกิจชุมชนส้มโอนครชัยศรี

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ การพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์อาหาร ของที่ระลึก และเครื่องหอมจากส้มโอ เพื่อเพิ่มมูลค่า สามารถนำเปลือกส้มโอมาพัฒนาเป็นส่วนประกอบในการผลิต ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ด้านเศรษฐกิจ/พาณิชย์ในการใช้เปลือกส้มโอเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต ด้านสังคมและชุมชนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในด้านรสชาติ ลดทรัพยากรที่เหลือใช้แก่ชุมชนและเป็นอีกทางเลือกในการเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรและชุมชน ผลการศึกษาพบว่า ความแตกต่างคุณภาพทางประสาทสัมผัส ของหยีสูตรที่มีปริมาณเปลือกขาวส้มโอ นั้นมีผลต่อการยอมรับของผู้ทดสอบชิม ปริมาณเปลือกขาวส้มโอร้อยละ 10 แยมร้อยละ 5 ความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องประกอบการแต่งกาย ด้วยผ้าฝ้ายย้อมสีจากส่วนประกอบของส้มโอเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ทั้ง 2 ประเภท ได้แก่ กระเป๋า, และผ้าอเนกประสงค์ เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ รวมจากทุกรายข้อของการประเมิน พบว่า กระเป๋า ได้รับความพึงพอใจเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ผ้าอเนกประสงค์ ตามลำดับ รูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องประกอบการแต่งกาย ด้วยผ้าฝ้ายย้อมสีจากส่วนประกอบของส้มโอเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ทั้ง 2 ประเภท ได้แก่ กระเป๋า, และผ้าอเนกประสงค์ เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องประกอบการแต่งกาย ด้วยผ้าฝ้ายย้อมสีจากส่วนประกอบของส้มโอเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ทั้ง 2 ประเภท เมื่อพิจารณาด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์ ความสวยงาม ประโยชน์ใช้สอย สีสัน ลวดลายของผ้า/รูปแบบผลิตภัณฑ์ และ ความเหมาะสม ความแข็งแรง ทนทานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งโดยรวมได้รับความพึงพอใจในระดับ มาก การพัฒนาศักยภาพและนวัตกรรมทางการตลาด สามารถเพิ่มมูลค่าให้ผู้ประกอบการแปรรูปจากส้มโอ จังหวัดนครปฐม เป็นโอกาสทางการตลาดและกลยุทธ์การตลาด ประกอบด้วย กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด ผลิตภัณฑ์เน้นที่มีคุณภาพ ราคากำหนดตามราคาตลาด ช่อง ทางการจัดจำหน่ายใช้แบบออฟไลน์และออนไลน์ และการส่งเสริมการตลาดเน้นการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ทางสื่อออนไลน์ จัดการส่งเสริมการขาย และการให้บริการของพนักงานขาย ดังนั้น การกำหนดกลยุทธ์การตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปจากส้มโอ จังหวัดนครปฐม ที่เหมาะสม นำมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจในชุมชนทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศยั่งยืนต่อไป ปริมาณการใช้เปลือกส้มโอที่เหมาะสมในการพัฒนา เป็นผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ปริมาณการใช้ผงเปลือกส้มโอในกรอบเค็มที่เหมาะสมคือร้อยละ 5 โดยผู้ชิมให้คะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสในด้านลักษณะปรากฎ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส อยู่ในระดับความชอบปานกลางถึงชอบมาก ส่วนปริมาณเปลือกส้มโออบแห้งที่เหมาะสมในกราโนล่า คือปริมาณร้อยละ 50 บ อยู่ในระดับความชอบปานกลางถึงชอบมาก ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบ ทางเคมีการใช้เปลือกส้มโอที่เหมาะสมในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว 2 ผลิตภัณฑ์ การใช้ เปลือกส้มโอในขนม ขบเคี้ยวทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยเพิ่มปริมาณใยอาหารให้กับผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น เมื่อนำผลิตภัณฑ์ ไปทดสอบการยอมรับของผู้บริโภค พบว่าบริโภคให้การยอมรับขนมขบเคี้ยวจาก เปลือกส้มโอ และถ้ามีวางจำหน่ายในท้องตลาดผู้บริโภคสนใจซื้อเพราะผลิตภัณฑ์มีรสชาติกลมกล่อม/ ความอร่อย พอใจในราคา ความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการผลิตผลิตภัณฑ์จากเปลือกส้มโอ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจ พิมเสนน้ำจากเปลือกส้มโอ มีความ พึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาพัดหอมบุหงาส้มโอ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ถุง หอมบุหงาส้มโอ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เทียนหอมส้มโอ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด และยาดมส้มโอ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ตามลำดับการศึกษาปริมาณที่ เหมาะสมในการใช้น้ำและเปลือกส้มโอในน้ำจิ้มบ๊วยเจี่ย พบว่าผู้ทดสอบให้การยอมรับการใช้น้ำส้มโอ ทดแทนน้ำเปล่าที่ระดับร้อยละ 50 และปริมาณเปลือกส้มโอที่ระดับร้อยละ 15 และน้ำและเปลือกส้มโอ ในน้ำจิ้มซีฟู้ด พบว่าผู้ทดสอบให้การยอมรับการเสริมน้ำส้มโอที่ระดับร้อยละ 50 และปริมาณเปลือกส้ม โอที่ระดับร้อยละ 15 ไม่แตกต่างจากสูตรพื้นฐาน และเมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบว่าการใส่ น้ำส้มโอและเปลือกส้มโอทำให้น้ำจิ้มมีปริมาณความชื้นที่ลดลง แต่ในขณะเดียวกันเถ้า ใยอาหาร และ คาร์โบไฮเดรตรวมมีปริมาณเพิ่มขึ้น น้ำส้มโอและเปลือกส้มโอมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม 2 ประเภท คือ น้ำส้มโอพร้อมดื่มและน้ำส้มโอเข้มข้น พบว่าปริมาณการเสริมเปลือกส้มโอที่เหมาะสมใน น้ำส้มโอพร้อมดื่ม คือ ร้อยละ 3 ปริมาณการเสริมเปลือกส้มโอที่เหมาะสมในน้ำส้มโอเข้มข้น คือ ร้อย ละ 1.5 ผลการศึกษาปริมาณเสริมแป้งเปลือกขาวส้มโอที่เหมาะสมใน พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การ ยอมรับนักเก็ตเสริมเปลือกขาวส้มโอที่ร้อยละ 10 มากที่สุดในด้านลักษณะปรากฎ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อ สัมผัส และความชอบโดยรวม อยู่ในระดับความชอบปานกลาง ผลการศึกษาปริมาณแป้งเปลือกส้มโอ ขาวที่เหมาะสมในหอยจ้อ พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การยอมรับปริมาณแป้งเปลือกส้มโอขาวที่ร้อยละ 10 มากที่สุด ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส (ความกรอบ) และความชอบโดยรวม อยู่ในระดับความชอบปานกลาง ผลการศึกษาคุณสมบัติทาง เคมี และกายภาพ พบว่า การเพิ่ม ปริมาณแป้งเปลือกขาวส้มโอในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ไม่มีผลต่อสีของผลิตภัณฑ์ การศึกษา ปริมาณเปลือกส้มโอทดแทนผลไม้หมักในฟรุตเค้กในปริมาณพบว่าผู้ชิมให้การยอมรับปริมาณเปลือก ส้มโอทดแทนผลไม้หมักในฟรุตเค้ก 100% ด้านกลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม (p> 0.05)

2565
โครงการยกระดับห่วงโซ่อุปทานกระท้อนด้วยนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจชุมชน ของกลุ่มเกษตรกร จังหวัดลพบุรี
โครงการยกระดับห่วงโซ่อุปทานกระท้อนด้วยนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจชุมชน ของกลุ่มเกษตรกร จังหวัดลพบุรี

การยกระดับห่วงโซ่อุปทานกระท้อนด้วยนวัตกรรมสำหรับเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดลพบุรีเริ่มพบว่าการเปลี่ยนแปลงในตลาดและเทคโนโลยี มีผลกระทบต่อรายได้และคุณภาพชีวิตอย่างมาก เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรนี้สามารถรับมือกับความท้าทายและเพิ่มโอกาสในการเติบโตและพัฒนา การยกระดับห่วงโซ่อุปทานกระท้อนด้วยนวัตกรรมเป็นก้าวแรกที่สำคัญหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการทำให้การเกษตรเป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืนคือการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในกระบวนการผลิตเกษตรกรในจังหวัดลพบุรีสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกการดูแลรักษาพืช และการเก็บเกี่ยวผลผลิต นวัตกรรมทางการเกษตรเช่นระบบรดน้ำอัตโนมัติและการใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลผลิตนอกจากนี้ การสร้างหรือเข้าร่วมหน่วยงานสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรชุมชนสามารถช่วยในการต่อรองราคาและการจัดหาตลาดให้กับผลผลิตได้ดีขึ้น การเชื่อมต่อกลุ่มเกษตรกรผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และการใช้โซเชียลมีเดียในการตลาดสินค้าเกษตรกร อาจช่วยเพิ่มรายได้และการเปิดโอกาสใหม่ เมื่อกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดลพบุรีสามารถรับรู้และนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการผลิตจะสามารถเพิ่มผลผลิตลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณค่าของผลผลิต นี่คือการยกระดับห่วงโซ่อุปทานกระท้อนด้วยนวัตกรรมที่จะช่วยเสริมเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มเกษตรกร ในจังหวัดลพบุรีให้ยั่งยืนและเติบโตขึ้นในอนาคต นอกจากการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเกษตร การสร้างความรู้และทักษะให้กับกลุ่มเกษตรกรเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการตลาดก็เป็นสิ่งสำคัญ การจัดอบรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกลุ่มเกษตรกรจะช่วยเสริมความรู้และความเข้าใจ ในวิธีการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและ การตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างทางเลือกในการผลิตและ การประมาณการตลาดเป็นสิ่งที่สำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มเกษตรกร การผลิตผลผลิตที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดให้เหมาะสมจะช่วยเพิ่มรายได้และความมั่นคงของ กลุ่มเกษตรกร และสุดท้ายความร่วมมือระหว่างกลุ่มเกษตรกรและราชการท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน การสร้างนโยบายและโครงการที่ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเกษตรจะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและความยั่งยืนของเศรษฐกิจชุมชน การยกระดับห่วงโซ่อุปทานกระท้อนด้วยนวัตกรรมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่เป็นการลงทุน ที่มีค่าในอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนสาหรับเกษตรกรในจังหวัดลพบุรี ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนและเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรเกษตรกรในพื้นที่นี้อย่างยั่งยืน

2565
การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและขนมไทยจากกัญชาเพื่อสร้างอาชีพ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและขนมไทยจากกัญชาเพื่อสร้างอาชีพ

งานวิจัยนี้ได้ศึกษาการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและขนมไทยจากกัญชาเพื่อสร้างอาชีพมีวัตถุประสงค์ในการศึกษา คือ เพื่อสำรวจความต้องการการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารไทย และขนมไทย จากกัญชา เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารไทย และขนมไทยจากกัญชา และเพื่อศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย และขนมไทยที่มีส่วนผสมของกัญชา ผลการสำรวจความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารไทยและขนมไทยจากกัญชา ผลการสำรวจ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 50 คน มีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารไทย ได้แก่ อันดับที่ 1 แกงพะแนง มีค่าเฉลี่ย 4.57 อันดับที่ 2 แกงส้ม มีค่าเฉลี่ย 4.30 และขนมไทย ได้แก่ อันดับที่ 3 วุ้น มีค่าเฉลี่ย 4.20 อันดับที่ 4 ทองหยิบ มีค่าเฉลี่ย 4.13 และอันดับที่ 5 ปุ้ยฝ้าย ค่าเฉลี่ย 4.07 ตามลำดับ ผลการศึกษาปริมาณการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์อาหารไทยและขนมไทยเมื่อนำไปประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสผู้ทดสอบชิมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไทย ดังนี้ ปริมาณการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์น้ำแกงพะแนง ให้การยอมรับการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์น้ำแกงพะแนง ร้อยละ 40 ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม มีค่าเฉลี่ย 7.84 7.95 7.90 8.13 8.05 และ 8.08 ตามลำดับ ปริมาณการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์น้ำแกงส้ม ให้การยอมรับร้อยละ 40 ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม มีค่าเฉลี่ย 8.15 7.96 8.00 8.10 7.83 และ 8.19 ตามลำดับ ปริมาณการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์วุ้น ให้การยอมรับร้อยละ 40 ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม มีค่าเฉลี่ย 8.00 8.10 8.20 7.95 8.03 และ 8.23 ตามลำดับ ปริมาณการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์ทองหยิบ ให้การยอมรับร้อยละ 40 ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม มีค่าเฉลี่ย 8.38 8.23 8.18 8.48 8.19และ 8.45 ตามลำดับ และปริมาณการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์ปุยฝ้าย ให้การยอมรับร้อยละ 40 ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม มีค่าเฉลี่ย 8.00 8.05 7.95 8.03 7.98 และ 8.10 ตามลำดับ เมื่อนำมาวิเคราะห์ความแปรปรวนและเปรียบเทียบความแตกต่างทางสถิติ พบว่า ในด้าน ลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิเคราะห์คุณภาพทางเคมี และคุณภาพทางกายภาพการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์อาหารไทยและขนมไทย ในการเสริมน้ำกัญชาในผลิตภัณฑ์อาหารไทยและขนมไทย ทั้ง 5 รายการ สามารถเสริมได้ แต่ควรคำนึงถึงองค์ประกอบทางเคมีของส่วนประกอบเริ่มต้น เช่น ปริมาณความชื้น และไขมัน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ อาจมีผลกระทบต่อคุณลักษณะทางกายภาพ เช่น กลิ่น และลักษณะเนื้อสัมผัส ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้มีผลกระทบต่อการยอมรับผลิตภัณฑ์

2565
ทัศนคติและพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวิอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นกรณีศึกษากรุงเทพมหานคร
ทัศนคติและพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวิอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นกรณีศึกษากรุงเทพมหานคร

ทัศนคติ และพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคในการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร ที่เคยสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโทบายแอพพลิเคชันจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยเป็นแบบสอบถามเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน F-test และ T-test ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 302 คน คิดเป็นร้อยละ 75.5 และมีอายุระหว่าง 21-30 ปี จำนวน 160 คน คิดเป็นร้อยละ 40 มีระดับการศึกษาอยู่ที่ระดับปริญญาตรี จำนวน 296 คน คิดเป็นร้อยละ 74 มีสถานะภาพโสด จำนวน 371 คน คิดเป็นร้อยละ 92.8 โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน จำนวน 163 คน คิดเป็นร้อยละ 40.75 และมีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า/เท่ากับ 15,000 บาท จำนวน 201 คิดเป็นร้อยละ 50.25 ด้านทัศนคติ พบว่าโดยภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามมีทัศนคติที่ดีต่อการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่าน โมบายแอพพลิเคชั่น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 (S.D.=0.57) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุดทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามทีทัศนคติที่ดีต่อการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นในประเด็นทำให้ประหยัดเวลาจากการเดินทาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 (S.D.=0.46) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุดรองลงมา การสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นสามารถทำให้เข้าถึงอาหารได้ในเวลาที่ต้องการ 4.55 (S.D.=0.69) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุด และการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล เช่นครอบครัวที่ทำงาน กลุ่มเพื่อน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 (S.D.=0.65) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุด ตามลำดับด้านพฤติกรรม พบว่าการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่สั่งอาหารเดลิเวิรี่ผ่านแอพพลิเคชั่น Grab ประเภทอาหารที่เลือกสั่งอาหารไทย ค่าใช้จ่าย (ไม่รวมค่าจัดส่ง) โดยเฉลี่ยครั้งต่อเดือน 1-3 ครั้ง บุคคลที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ คือ ตนเอง สื่อที่ทำให้ทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอาหาร คือ สื่อสังคมออนไลน์ ระดับความสำคัญของการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นของผู้ตอบแบบสอบถามโดยใช้ส่วนประสมทางการตลาดบริการ (7P”s) โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุดเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม ด้านบุคลากร ด้ายกายภาพและการนำเสนอ ด้านราคา ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด

2565
ความภาคภูมิใจของนักศึกษาคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
ความภาคภูมิใจของนักศึกษาคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร

งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความภาคภูมิใจของนักศึกษาคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักศึกษาระดับปริญญาตรีของคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1,145 คน ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความภาคภูมิใจของนักศึกษาคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติและสรุปผล ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 723 คน คิดเป้นร้อยละ 63.15 และเป็นเพศชาย จำนวน 422 คน คิดเป้นร้อยละ 63.15 ตามลำดับ ระดับการศึกษาส่วนใหญ่เป็นระดับปริญญาตรีปีที่ 1 จำนวน 373 คิดเป็นร้อยละ 32.58 รองลงมาระดับปริญญาตรีปีที่ 2 จำนวน 270 คน คิดเป็นร้อยละ 23.58 ระดับปริญญาตรีปีที่ 4 จำนวน 253 คิดเป็นร้อลละ 22.09 และระดับปริญญาตรีปรที่ 3 จำนวน 249 คน คิดเป็นร้อยละ 21.75 ตามลำดับ สาขาวิชาส่วนใหญ่สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ จำนวน 634 คน คิดเป็นร้อยละ 55.37 รองลงมาสาขาวิชาอุตสาหกรรมการบริการอาหาร จำนวน 269 คน คิดเป็นร้อยละ 23.49 สาขาวิชาคกรรมศาสตร์ประยุกต์ จำนวน 167 คน คิดเป็นร้อยละ 14.58 สาขาวิชาออกแบบแฟชั่นและการจัดดารสินค้า จำนวน 38 คน คิดเป้นร้อยละ 3.33 และสาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร จำนวน 37 คน คิดเป็นร้อยละ 3.23 ตามลำดับ นักศึกษาคณะเทคโนโลยีคหกรรมศษสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มีความภาคภูมิใจในตัวเองโดยรวมอยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ย 3.57 เพื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ก่อนทำอะไรลงไปฉันจะคิดก่อนเสมอว่ามีผลดีต่อตนเองหรือไม่ อยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ย 4.00 ฉันจะคิดก่อนทำเสมอ อยู่ในระดับมาก ที่ค่าเฉลี่ย 4.00 ฉันสามารถบอกได้ว่าตนเองเก่งด้านไหน อยู่ในระดับมาก ที่มีค่าลี่ย 4.00 ตามลำดับ

2565