จำนวนงานวิจัย ( 91 )

นวัตกรรมผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพรเพื่อกำจัดสารเคมีสังเคราะห์ตกค้าง
นวัตกรรมผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพรเพื่อกำจัดสารเคมีสังเคราะห์ตกค้าง

งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดสมุนไพร 4 ชนิด ได้แก่ ใบรางจืด, ใบยูคาลิปตัส, เปลือกส้มโอ และอบเชย ซึ่งมีศักยภาพในการกำจัดสารเคมีสังเคราะห์ที่ตกค้างในน้ำทิ้งและบนพื้นผิวสัมผัส ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากสมุนไพรที่ใช้เอทานอล 80% ที่ความเข้มข้น 0.05% สามารถลดการปนเปื้อนของสารเคมี 4 ชนิด คือ C.I. Reactive Brown 18, Crystal Violet, Methylene Blue และ Safranin โดยมีประสิทธิภาพที่น่าพอใจ เช่น สารสกัด Crystal Violet ลดลง 29.4% ขณะที่สารสกัด Methylene Blue ลดลงสูงถึง 70.6% นอกจากนี้ สารสกัดทั้ง 4 ชนิดนี้ไม่เป็นพิษต่อกลุ่มจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ยกเว้นสารสกัดใบยูคาลิปตัส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นพิษต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา Aspergillus niger ในระดับต่ำ โดยมีการลดลงประมาณ 10-20% บนอาหารแข็ง การทดลองในส่วนของการพัฒนาสูตรผสมของสารสกัดทั้ง 4 ชนิดในอัตราส่วน 1:1 พบว่าประสิทธิภาพรวมของสูตรนี้สามารถสูงเกิน 80% ในการลดการปนเปื้อนทั้งบนพื้นผิวและในน้ำ แต่ในกรณีของการใช้งานบนผ้าพบว่าประสิทธิภาพลดลง ไม่เกิน 50% หากสารเคมีแห้งไม่เกิน 30 นาที อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของสารสกัดเหล่านี้จะลดลงหากเก็บไว้นานเกิน 3 เดือน เช่น สารสกัดใบรางจืดเมื่อใช้งานกับ Crystal Violet พบว่าประสิทธิภาพลดลง 21.6% สารสกัดใบยูคาลิปตัสเมื่อทำการทดสอบกับ Methylene Blue ลดลง 6% และสารสกัดเปลือกส้มโอ ต่อ Methylene Blue ลดลง 29.2% ในขณะที่สารสกัดอบเชยต่อ Safranin ลดลง 36.8% การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์จากสารสกัดสมุนไพร 4 ชนิดนี้สามารถเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดสารเคมีสังเคราะห์จากธรรมชาติ โดยไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ เนื่องจากสารสกัดเหล่านี้มาจากธรรมชาติและไม่มีสารกันบูด ซึ่งทำให้เหมาะสมกับการใช้งานในด้านความปลอดภัย ทั้งนี้ ควรเก็บสารสกัดไว้ ไม่เกิน 3 เดือนเพื่อรักษาประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีที่สุด โดยทางเลือกนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สมุนไพร แต่ยังส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในการจัดการกับสารเคมีตกค้างในชีวิตประจำวันอีกด้วย

2567
ระบบการจัดเก็บและรายงานข้อมูลสำหรับการประเมิน ตามเกณฑ์ QS Stars Rating
ระบบการจัดเก็บและรายงานข้อมูลสำหรับการประเมิน ตามเกณฑ์ QS Stars Rating

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บและรายงานข้อมูลสำหรับการประเมินตามเกณฑ์ QS Stars Rating ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เพื่อให้ระบบมีความทันสมัย สะดวกต่อ การใช้งาน และมีความสวยงาม จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลตามเกณฑ์ QS Stars Rating พบว่า การพัฒนาระบบดังกล่าวช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยระบบที่พัฒนาสามารถรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่รับผิดชอบต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่ม ความรวดเร็วในการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือที่นำมาใช้ เช่น Google Forms, Google Sheets และ Looker Studio ช่วยให้การจัดเก็บและนำเสนอข้อมูลมีความชัดเจน เข้าใจง่าย และสวยงาม ผลการประเมินการใช้งานระบบพบว่าผู้ใช้งานมีความพึงพอใจในระดับดี โดยสรุป ระบบที่พัฒนาช่วยเพิ่มศักยภาพของมหาวิทยาลัยในการจัดการข้อมูลและสนับสนุนการประเมินในระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2567
ฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดว่านนางคำ สำหรับการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์โลชั่นบาร์และนวัตกรรมเพื่อการชะลอวัย
ฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดว่านนางคำ สำหรับการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์โลชั่นบาร์และนวัตกรรมเพื่อการชะลอวัย

งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์โลชั่นบาร์ที่มีส่วนผสมของว่านนางคำ เพื่อพัฒนาเป็นเวชสำอางเพื่อการชะลอวัยว่านนางคำ (Curcuma aromatica salisb) เป็นว่านที่อยู่ในวงศ์ของของและข่ามีลักษณะคล้ายกับขมิ้น ว่านนางคำมีองค์ประกอบทางของเคมีหลายชนิดที่น่าสนใจ ในงานวิจัยนี้ได้มีการทดสอบองค์ประกอบทางของเคมีของสารสกัดว่านนางคำ โดยได้ทำการสกัดสารออกฤทธิ์ในว่านนางคำโดยใช้เอทานอลทำการระเหยเพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์ นอกจากนี้ยังได้ทำการสกัดน้ำมันว่านนางคำเพื่อดูสารออกฤทธิ์อีกด้วย ได้ทำการหาสารออกฤทธิ์ด้วยกระบวนการแก๊สโครมาโทกราฟี และ แมสสเปกโตรเมตรี ได้พบสารออกฤทธิ์หลายตัวที่น่าสนใจ ได้ทำการทดสอบการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธีดีพีพีเอช พบว่ามีคุณสมบัติด้านอนุมูลอิสระเพียงเล็กน้อย ได้ทำการทดสอบการต้านอักเสบในเซลล์พบว่าสารสกัดว่านนางคำมีฤทธิ์ต้านอักเสบ ในการวิจัยครั้งนี้ได้มีการพัฒนาขึ้นสูตรตำรับที่ดีที่สุดของโลชั่นบาร์ว่านนางคำ โลชั่นบาร์เป็นโลชั่นแบบก้อนคล้ายสบู่ ไม่มีส่วนผสมของน้ำสารที่ใช้เป็นสารที่อยู่ในรูปแบบน้ำมันแล้วขึ้นรูปด้วยสารขึ้นรูป สูตรที่ดีที่สุดได้ทำการจดแจ้งทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อจะได้มีการถ่ายทอดนวัตกรรมแก่ชุมชนต่อไป

2567
ผลกระทบของปัจจัยความสำเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชีและพัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
ผลกระทบของปัจจัยความสำเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชีและพัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยความสาเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานการเงินบัญชี และพัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของความสาเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานการเงินบัญชี และพัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร กลุ่มตัวอย่างคือ เจ้าหน้าที่ด้านการคลัง การเงิน บัญชี และพัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จานวน 75 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31 – 40 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี มีอายุการทางาน 11 ปีขึ้นไป มีประสบการณ์ในการใช้ระบบ ERP มากกว่า 10 ปี มีความถี่ในการใช้ระบบ ERP เป็นประจาทุกวัน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นปัจจัยความสาเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) โดยภายรวม อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านคุณภาพข้อมูล ด้านคุณภาพของระบบ ด้านผู้ใช้งาน และด้านองค์กร ตามลาดับ ในขณะที่ ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านคุณภาพของงาน ด้านระยะเวลา และด้านค่าใช้จ่าย ตามลาดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยความสาเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ด้านคุณภาพของระบบ ด้านองค์กร ด้านคุณภาพของระบบ และด้านผู้ใช้งานส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ในภาพรวม นอกจากนี้ ปัจจัยความสาเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ด้านคุณภาพของระบบ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ด้านค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกัน ปัจจัยความสาเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ด้านองค์กร และด้านผู้ใช้งาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านค่าใช้จ่าย และด้านระยะเวลา และปัจจัยความสาเร็จของระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร ด้านคุณภาพข้อมูล และด้านองค์กร ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ด้านคุณภาพของงาน

2567
สาเหตุการลงทะเบียนเรียนล่าช้า ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
สาเหตุการลงทะเบียนเรียนล่าช้า ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร

การวิจัยเรื่อง สาเหตุของการลงทะเบียนเรียนล่าช้าของนักศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงสาเหตุการลงทะเบียนเรียนล่าช้า และเพื่อเปรียบเทียบลักษณะประชากรกับสาเหตุการลงทะเบียนเรียนล่าช้า ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ซึ่งงานวิจัยนี้ใช้วิธีศึกษาเชิงสำรวจ การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้เก็บจากกลุ่มตัวอย่าง ที่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี ภาคปกติ ทุกสาขาวิชาในภาคการศึกษาที่ 1/2567 คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จำนวน 675 คน จำนวน ได้กลุ่มตัวอย่าง 251 คน ใช้แบบสอบถามเป็น เครื่องมือการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลด้าน 1) ปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจในปฏิทินการศึกษา/ระเบียบ/ข้อบังคับ/แนวปฏิบัติ 2) ด้านการลงทะเบียนเรียน/หลักสูตร และ 3) ด้านอื่น ๆ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า 1. ด้านข้อมูลทั่วไป ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 51.80 สาขาวิชาการโรงแรมร้อยละ 35.90 โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 ร้อยละ 36.70 และขอทำการลงทะเบียนเรียนล่าช้า ร้อยละ 70.50 2. ด้านเกี่ยวกับสาเหตุของการลงทะเบียนเรียนล่าช้า ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ ผลการวิเคราะห์ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก ในทุกประเด็นโดยภาพรวม ( X = 3.72, S.D. = 0.66) โดยมีปัจจัยด้าน อื่นๆ สูงสุดอยู่ในระดับมาก (X = 3.72, S.D. = 0.66) ผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่าสาเหตุของการลงทะเบียนเรียนล่าช้า ระดับคความสำคัญในด้านปัจจัยอื่นๆ โดยมาก คือนักศึกษาติดธุระ/ติดภาระงานที่ทำอยู่ทำให้เวลาไม่ตรงกับช่วงกำหนดของการลงทะเบียนเรียน ซึ่งเป็น สาเหตุของการลงทะเบียนเรียนล่าช้าของนักศึกษา ทั้งนี้ควรมีการเพิ่มระยะเวลาดำเนินการลงทะเบียนเรียน และ จำนวนที่นั่งในรายวิชา พร้อมทั้งควรลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในการลงทะเบียนเรียน เพื่อความสะดวก รวดเร็วในการ ลงทะเบียนเรียน นอกจากนั้นการพัฒนาระบบการลงทะเบียนให้มีความเหมาะสม ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ส่งผลต่อการลดจำนวนการลงทะเบียนเรียนล่าช้าต่อไป

2567