จำนวนงานวิจัย ( 58 )
ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
งานวิจัยนี้มีเพื่อศึกษาผลกระทบก่อนและหลังเกิดสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีต่อสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ในมุมมองของผู้ประกอบการ และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบก่อน และหลังจากสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ความคิดเห็นที่มีต่อผลกระทบก่อนและหลังจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลกระทบด้านการท่องเที่ยว และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และ 3) ปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะ โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาสำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31 - 35 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ตำแหน่งพนักงาน และมีระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 6 – 10 ปี และผลการวิเคราะห์ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลกระทบก่อนและหลังสถานการณ์โควิด 19 ที่มีต่อการท่องเที่ยว พบว่า ผลกระทบก่อนและหลังเกิดสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลกระทบทางการท่องเที่ยว และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ นั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) หากไม่มีการปรับตัวในเรื่องของธุรกิจบริการต่าง ๆ ก็จะทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นขาดรายได้ ซึ่งมีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจที่พัก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจการบิน เพราะธุรกิจบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าธุรกิจอื่น ๆ และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019 (COVID-19) เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างในหลาย ๆ ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการบางแห่งถึงขั้นปิดตัวลงเพราะสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ไม่ไหว อีกทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงัก งดการเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัด ปิดประเทศ งดการเดินทางเข้า - ออกระหว่างประเทศ ห้ามออกจากเคหสถานในยามวิกาล ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวหายไปช่วงหนึ่ง ดังนั้น ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 5.3.2 ควรเพิ่มมาตรการในการดำเนินการป้องกัน ควบคุมการติดเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019 ให้ถูกสุขลักษณะของกระทรวงสาธารณสุขมากขึ้น
การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน จังหวัดสมุทรสาคร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและรูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาครกับปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน 3. เพื่อศึกษารูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเสนอความคิด การวางแผน และการตัดสินใจ ด้านการดำเนินการและการปฏิบัติการ ด้านการรับและแบ่งบันผลประโยชน์ และด้านการติดตามและประเมินผล และ 3) ปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะ โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวและคนในชุมชน จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาสำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานรัฐ / เจ้าหน้าที่ของรัฐ / รับราชการ และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 10,001 – 15,000 บาท 2) ความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ ดังนี้ ด้านการติดตามและประเมินผล มากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการเสนอความคิด การวางแผน และการตัดสินใจ ด้านการดำเนินการและปฏิบัติการ และด้านการรับและแบ่งปันผลประโยชน์ 3) ระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการเสนอความคิด การวางแผน และการตัดสินใจ 2) ด้านการดำเนินการและปฏิบัติการ 3) ด้านการรับและแบ่งปันผลประโยชน์ และ 4) ด้านการติดตามและประเมินผล ในภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมาก เนื่องจากคนในชุมชนนั้นให้คอยให้ความร่วมมือในการดำเนินการแสดงความคิดเห็น ช่วยกันวิเคราะห์สภาพปัญหาของชุมชน เสนอโครงการ หรือกิจกรรมของชุมชน จัดทำโครงการ เพื่อกระตุ้นให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ในชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีการบริจาค สมทบทุน จัดตั้งคณะกรรมการในการจัดงานต่าง ๆ ในชุมชน สามารถนำสินค้าที่ตัวเองมีมาขายเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองและชุมชน รวมถึงมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุน ติดตาม ดำเนินการกำกับดูแล และหาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข และสร้างสรรค์ชุมชนของตนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร 4) ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน มีผลต่อความคิดเห็นต่อ ระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและรูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เนื่องจาก คนในชุมชนไม่ว่าจะเป็นเพศหญิง เพศชาย อายุน้อยจนถึงอายุมาก หรือจะมีอาชีพแตกต่างกัน รวมไปถึงรายได้เฉลี่ยต่อเดทอนแตกต่างกัน ก็ยังให้ความร่วมมือในการสนับสนุนและพัฒนาชุมชนของตนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร 5) รูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาครนั้นได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากคนในชุมชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งทุกคนที่อาศัยในชุมชนต่างก็พัฒนาชุมชนของตนเองให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการทำเครื่องเบญจรงค์ หมู่บ้านเบญจรงค์ดอนไก่ดี ตำบลดอนไก่ดี อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร หรือการเยี่ยมชมวิถีชีวิตของคนในชุมชนเมืองประมงของชาวจังหวัดสมุทรสาคร
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูพลศึกษาในมุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
งานวิจัยนี้มีเพื่อศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูพลศึกษาในมุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เพื่อศึกษาแนวทางคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูพลศึกษาในมุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2563 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของนักศึกษาซึ่งเป็นลักษณะทางประชากรศาสตร์ 2) คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูพลศึกษาในมุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร ทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านวิชาการและการสอน ด้านคุณธรรมและความประพฤติ ด้านบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ ด้านการบริการวิชาการแก่สังคม 3) ความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของครูพลศึกษาเพิ่มเติมในมุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านวิชาการและการสอน ด้านคุณธรรมและความประพฤติ ด้านบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ ด้านการบริการวิชาการแก่สังคม โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลพระนคร จำนวน 382 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาสำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 20 ปี กำลังศึกษาอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างมีระดับความคิดเห็นในเรื่องของคุณลักษณะที่เป็นจริงของครูพลศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ คุณลักษณะที่เป็นจริงของครูพลศึกษาด้านคุณธรรมและความประพฤติ มากที่สุด รองลงมา คือ ด้านวิชาการและการสอน และในเรื่องของคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูพลศึกษาในความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูพลศึกษาด้านบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ มากที่สุด รองลงมา คือ ด้านคุณธรรมและความประพฤติ มุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ที่มีต่อคุณลักษณะของครูพลศึกษาทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านวิชาการและการสอน ด้านคุณธรรมและความประพฤติ ด้านบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ ด้านการบริการวิชาการแก่สังคม แสดงให้เห็นว่าในภาพรวมครูพลศึกษา ควรมีทักษะทางด้านกีฬา และนันทนาการ มีมนุษยสัมพันธ์ดี สร้างบรรยากาศที่ดีน่าเรียนไม่ตึงเครียดจนเกินไป มีคุณธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักศึกษา รับฟังความคิดเห็น มีความรับผิดชอบ จริงใจ มีทัศนคติที่ดีกับนักศึกษาทุกคน อัธยาศัยดี เป็นกันเอง แต่งตัวเหมาะสม พูดจาดี เข้าถึงได้ง่าย มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีน้ำใจ มีการแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับกีฬาให้นักศึกษาได้ทราบ มีอุปกรณ์กีฬาให้นักศึกษาได้ยืมใช้นอกเหนือจากเวลาเรียน มีความเข้าใจและเข้าถึงนักศึกษา สนับสนุน แนะแนวทางการศึกษาให้กับนักศึกษา ให้คำปรึกษา และ/หรือคำแนะนำที่ดีให้กับนักศึกษา ตั้งใจสอน ส่งเสริมนักศึกษาในทางที่ดี มีความเป็นผู้นำ
แนวทางการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรีโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
งานวิจัยนี้มีเพื่อศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุที่นำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี และเพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนารูปแบบการนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพหลัก (อาชีพที่มั่นคงและมีรายได้มากที่สุด) และรายได้ต่อเดือน 2) การส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรีโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3) การดำเนินชีวิตโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี และ 4) ข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถามโดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี จำนวน 382 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา สำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ และสถิติเชิงอนุมาน สำหรับการทดสอบสมมติฐาน ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 41 – 50 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือสูงกว่า ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง และมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 10,001 บาท ระดับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ระดับการปฏิบัติการดำรงชีวิตโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของผู้สูงอายุในอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และมีการนำแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ประกอบด้วย ด้านความพอประมาณ ด้านการมีเหตุผล ด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ด้านเงื่อนไขความรู้ และเงื่อนไขด้านคุณธรรม จำแนกตามข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ได้ดังนี้ 1) กลุ่มตัวอย่างที่มีเพศต่างกัน มีการนำแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ แตกต่างกัน ในด้านความมีเหตุผล ด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี และด้านความรู้ 2) กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุต่างกัน มีการนำแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ แตกต่างกัน ประกอบด้วย ด้านความพอประมาณ ด้านการมีเหตุผล ด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ด้านเงื่อนไขความรู้ และเงื่อนไขด้านคุณธรรม 3) กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการนำแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ แตกต่างกัน ในด้านการมีเหตุผล 4) กลุ่มตัวอย่างที่มีอาชีพหลักต่างกัน มีการนำแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ แตกต่างกัน ประกอบด้วย ด้านความพอประมาณ ด้านการมีเหตุผล ด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ด้านเงื่อนไขความรู้ และเงื่อนไขด้านคุณธรรม 5) กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่อเดือนต่างกัน มีการนำแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ แตกต่างกัน ในด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี
ความสัมพันธ์ระหว่างความล้มเหลวทางการเงินกับอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความล้มเหลวทางการเงินกับอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความล้มเหลวทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างจำนวน 373 บริษัท ระหว่างปี พ.ศ.2559-2563 ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย ความล้มเหลวทางการเงิน (Z-Score) อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) โดยใช้วิธีการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) บริษัทส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวทางการเงิน คิดเป็นร้อยละ 42.79 โดยผลการวิจัยพบว่า อัตรากำไรสุทธิ และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความล้มเหลวทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความล้มเหลวทางการเงินแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนตัวแปรควบคุม ขนาดของกิจการมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความล้มเหลวทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่อายุของกิจการมีความสัมพันธ์เชิงลบกับความล้มเหลวทางการเงินแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ