จำนวนงานวิจัย ( 104 )

พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรภายใต้วิถีใหม่ (New Normal)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วสมุนไพรภายใต้วิถีใหม่ (New Normal) 2. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรภายใต้วิถีใหม่ (New Normal) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่ซื้อ หรือ ใช้ ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร ประเภทผลิตภัณฑ์ชำระล้าง หรือทำความสะอาดมือที่ส่วนผสมมาจากสมุนไพร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือใน เก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่ม (การหาค่าที) การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของประชากรที่มากกว่า 2 กลุ่ม โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการศึกษาพบว่า 1 ผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 21-30 ปี มีสถานภาพโสดมากกว่าสมรส/อยุ่ด้วยกัน การศึกษาส่วนใหญ่ระดับปริญญาตรี รองลงมาคือ ระดับระดับปริญญาโท และต่ำกว่าปริญญาตรี ตามลำดับ อาชีพส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน รองลงมา นักเรียน/นักศึกษา และธุรกิจส่วนตัว/อิสระ ตามลำดับ รายได้ส่วนใหญ่มีรายได้ต่อเดือน 15,001-30,000 บาท รองลงมา รายได้ต่อเดือน 30,001-45,000 บาท และรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท ตามลำดับ 2 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุด โดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีความคิดเห็นมากที่สุดในข้อ ความปลอดภัยกับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร ผลิตภัณฑ์มีสีตามธรรมชาติ ปราศจากการแต่งสีผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ผลิตภัณฑ์มีกลิ่นตามธรรมชาติปราศจากน้ำหอม 3 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านราคา พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุดโดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีความคิดเห็นมากที่สุดในข้อ ราคาเหมาะสมกับปริมาณบรรจุของผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร ราคาผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรเหมาะสมกับคุณภาพ ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรมีความคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับ และผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากในข้อ ราคาผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรแพงกว่าผลิตภัณฑ์สุขอนามัยทั่วไป 4 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านช่องทางการจัดจำหน่าย พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุดโดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้บริโภคมีความคิดเห็นมากที่สุดในข้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรมีหลากหลายช่องทางการขาย หาซื้อได้ง่าย เช่น ห้างสรรพสินค้าร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น วิธีการชำระเงินที่มีความหลากหลาย เช่น การจ่ายด้วยพร้อมเพย์ เป๋าตังค์ เงินสด เป็นต้น การจัดส่งผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรสะดวกรวดเร็ว ถึงมือผู้บริโภคในเวลาที่ต้องการ และผู้บริโภคระดับมีความคิดเห็นมากในข้อการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรจากช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook และ Line 5 ข้อมูลส่วนประสมทางการตลาดด้านการส่งเสริมการตลาด พบว่า ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นมากที่สุด โดยรวม และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ด้านการได้รับข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพรอย่างดี เช่น Brochure แนะนำผลิตภัณฑ์ และ ผ่านสื่อโซเซียลมีเดีย การมีประสบการณ์การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยด้วยสมุนไพร กิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ โฆษณาทางสื่อโซเซียลมีเดีย การจัดแสดงสินค้า ณ จุดจำหน่ายตาม ร้านค้าต่าง ๆ หรือ งานแสดงสินค้าเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1. ผู้บริโภคที่มีอายุแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ท่านเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีสถานภาพแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีอาชีพแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่ การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกันกัน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้าน ความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเนื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 2. ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านราคาผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และฯ ด้านเนื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผู้บริโภคที่มีปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ ด้านความถี่การซื้อผลิตภัณฑ์ฯ ด้านเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ฯ และด้านเนื้อผลิตภัณฑ์ ฯ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05

หลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing ที่มีต่อคุณภาพงานสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีขนาดเล็กในประเทศไทย
งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing ที่มีต่อคุณภาพงานสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีขนาดเล็กในประเทศไทย โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 313 ราย ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า หลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing ที่มีต่อคุณภาพงานสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีขนาดเล็กในประเทศไทยมีความสัมพันธ์ในทางเดียวกันกับหลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ ให้ความสำคัญในเรื่องจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพสอบบัญชี รองลงมาเป็นด้านความรู้ความสามารถของผู้สอบบัญชี ด้านการกำกับดูแลที่ดี ด้านประสิทธิภาพของการควบคุมภายใน และคุณภาพงานสอบบัญชี ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่มองว่าหลักฐานการสอบบัญชีในยุค Social Distancing มีประสิทธิภาพในการประมวลผล สะดวกรวดเร็วในการรายงานผล นอกจากนี้ ยังแสดงถึงความรู้ความสามารถของผู้สอบบัญชี และช่วยให้การปฏิบัติงานตรวจสอบอยู่ภายใต้กรอบของมาตรฐานการสอบบัญชี และจรรยาบรรณทางวิชาชีพบัญชีมากขึ้น

Customer journey, customer experience, and customer satisfaction in the servicescape of the Bangkok Aesthetics clinics
The COVID-19 pandemic has significantly impacted the healthcare industry in Bangkok, particularly in medical and beauty clinics. To succeed in this highly competitive market, clinics need to understand and meet the changing needs of their customers. This study aims to explore the experiences of patients seeking medical care at clinics in Bangkok during the pandemic and the marketing strategies employed by medical clinics to target different types of customers. Through a qualitative research design, data will be collected through in-depth interviews with patients and clinic staff and observation of clinic operations. The study will also review relevant literature on healthcare services, marketing strategies, and patient experience. The findings will contribute to developing effective marketing strategies for medical and beauty clinics in Bangkok and inform future research in this field. Specifically, this study will answer the following research questions: What are patients' experiences seeking medical care at aesthetic clinics in Bangkok during the COVID-19 pandemic? How do aesthetic clinics in Bangkok market their services to different types of customers, and what strategies have been most effective?

Customer experience management, value, and satisfaction of customer through government service’s application program
The programmer designed the mobile application with a friendly version. Its application is planned for effortless usage and is easy to use, called User experience (UX). The mobile government application aimed to launch to facilitate people for their daily consumption and transaction. However, some functions and interfaces should be developed and customized to the specific user. The government’s mobile application is suggested to explore the Customer experience (CX) to ease and convince people to take advantage of the government mobile application. Using a qualitative and exploratory approach, the interview was conducted with the customer experience to explore the perception and feedback of government applications. A semi-structured interview with 17 participants was conducted to examine the customer experience. These findings provide important implications and input for the government mobile application and user experience development.

การศึกษาการอบแห้งฟ้าทะลายโจรด้วยเครื่องอบแห้งแบบฟลูอิดไดซ์เบด
ปัจจุบันฟ้าทะลายโจรเป็นที่ต้องการของตลาดสูงมาก เนื่องจากมีรายงานผลการวิจัยพบว่า ฟ้าทะลายโจรช่วยรักษาอาการไข้ที่เป็นอาการหนึ่งของผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ได้ ฟ้าทะลายโจรจัดเป็นสมุนไพรท้องถิ่นในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ ทั่วทวีปเอเชีย โดยนิยมนําส่วนของใบและลำต้นใต้ดิน มาทำเป็นยารักษาโรค โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ สำหรับฟ้าทะลายโจรที่นำมาทำเป็นยารักษาโรคจะต้องผ่านวิธีทำให้แห้ง ในการทำให้แห้งปกติ ใช้วิธีการตากแดดตามธรรมชาติ ซึ่งมีข้อจำกัดเวลาในการผลิต จะทำให้การผลิตไม่ต่อเนื่อง ดังนั้นโครงงานนี้จึงสนใจที่จะศึกษาการนำฟ้าทะลายโจรมาอบแห้งโดยใช้เครื่องอบแห้งแบบฟลูอิดไดซ์เบด ซึ่งเครื่องอบแห้งชนิดนี้สามารถลดความชื้นได้อย่างรวดเร็ว โดยเครื่องอบแห้งแบบฟลูอิดไดซ์เบด ที่จะทำการศึกษาจะมีอุปกรณ์ประกอบด้วย ชุดพัดลมโบลเวอร์ 2 HP ที่ความเร็วรอบสูงสุด 2,950 rpm เป่าลมผ่านฮีตเตอร์ทำความร้อนขนาด 6,000 W เกิดลมร้อนไปยังถังอบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 33 cm สูง 150 cm ในการทดลองนี้ได้กำหนดน้ำหนักฟ้าทะลายโจรในการอบครั้งละ 500 g, 1,000 g, และ 2,000 g ทดลองฟ้าทะลายโจรที่น้ำหนักละ 2 ครั้ง ที่อุณหภูมิ 40 °C และ 50 °C ความเร็วลมร้อน ที่ผ่านถังอบ 1.5 m/s โดยจะบันทึกข้อมูลการทดลองทุก 15 min เพื่อหาความชื้นที่ลดลงต่อช่วงเวลา ผลการทดลองพบว่าที่น้ำหนักฟ้าทะลายโจร 2,000 g อุณหภูมิ 40 °C ใช้เวลาในการอบแห้ง 105 นาทีและอุณหภูมิ 50 °C ใช้เวลาในการอบแห้ง 60 นาที ที่อุณหภูมิเท่ากันเมื่อเพิ่มน้ำหนักฟ้าทะลายโจร ทำให้ใช้ระยะเวลาในการอบแห้งเพิ่มขึ้น เมื่อเพิ่มอุณหภูมิการอบแห้งจาก 40 °C เป็น 50 °C ทำให้ระยะเวลาในการอบแห้งลดลงและพบว่าการสิ้นเปลืองพลังงานจำเพาะมีค่าลดลงเนื่องจากใช้ระยะเวลาในการอบแห้งที่ 50 °C น้อยกว่า 40 °C