จำนวนงานวิจัย ( 58 )
การใช้ทฤษฎีพหุปัญญาในการจัดการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาโดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เพื่อศึกษาความสามารถในการเรียนวิชาพลศึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการเรียนการสอนวิชาพลศึกษากับความสามารถในการเรียนวิชา พลศึกษาโดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครโดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของนักศึกษาซึ่งเป็นลักษณะทางประชากรศาสตร์ 2) ลักษณะองค์ประกอบของการสอนแบบการใช้ทฤษฎีพหุปัญญา 3) ขั้นตอนการสอนพลศึกษาด้วยการสอนแบบการใช้ทฤษฎีพหุปัญญาเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย และ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการเรียนการสอนวิชาพลศึกษากับความพึงพอใจที่นักศึกษามีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญา โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จำนวน 357 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาสำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร พบว่า ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง อายุ 19 ปี เป็นนักศึกษาคณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มีความคิดเห็นที่มีต่อการสอนวิชาการพลศึกษาด้วยการสอนแบบการใช้ทฤษฎีพหุปัญญา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เพราะนักศึกษาทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง มีการเคลื่อนไหวร่างกาย มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ได้ใช้ประสบการณ์เดิมเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ และขั้นตอนการสอนพลศึกษาด้วยการสอนแบบการใช้ทฤษฎีพหุปัญญา เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด และนักศึกษาที่มีเพศ อายุ ที่แตกต่างกันมีความ พึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้ทฤษฎี พหุปัญญาไม่แตกต่างกัน แต่นักศึกษาที่เรียนคณะต่างกันจะมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้ทฤษฎีพหุปัญญาแตกต่างกัน 3 ขั้น ดังนี้1. ขั้นสอน / สาธิต 2. ขั้นปฏิบัติ และ 3. ขั้นปรับปรุง
การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการและการพัฒนาการท่องเที่ยว เชิงสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ จังหวัดเพชรบุรี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการพัฒนาสู่เมืองสร้างสรรค์ของอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ หน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ประชาชนในชุมชนนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจังหวัดเพชรบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสัมภาษณ์ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะของชุมชนในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการพัฒนาสู่เมืองสร้างสรรค์ของอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ หน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ประชาชนในชุมชนนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจังหวัดเพชรบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสัมภาษณ์ สรรค์ของ จังหวัดเพชรบุรี มีดังนี้ 1. การประชาสัมพันธ์และการร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่ายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยต้องสร้างการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยวในรายละเอียดความโดดเด่นของแต่ละชุมชน 2. การดำเนินโครงการที่ทางภาครัฐจัดขึ้นเป็นแนวทางการพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารที่ดี หากสามารถดำเนินการไปได้ในอนาคตเนื่องจากเป็นแผนที่อยู่ในความสนใจของประชากรทั้งโลก เทรนด์อาหารสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมเพราะผู้คนใส่ใจกับสุขภาพเพิ่มมากขึ้น 3. เรื่องความยั่งยืนและความต่อเนื่องของนโยบายจากภาครัฐ รวมไปถึงงบประมาณที่ลงสู่ชุมชน ที่ต้องการสนับสนุนมากขึ้นในการจัดหาอุปกรณ์ในการผลิต การพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่บ่งบอกอัตลักษณ์ของพื้นที่ การสนับสนุนอย่างครบวงจรจึงเป็นสิ่งสำคัญ 4. การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวของชุมชนในจังหวัดในชุมชนที่ใกล้เคียงกันสามารถเดินทางท่องเที่ยวเป็นเครือข่ายได้ การร่วมมือเป็นเครือข่ายเพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไปทุกท้องถิ่น
กลยุทธ์ความสำเร็จของการเรียนออนไลน์ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาปัจจัยความสำเร็จการเรียนออนไลน์ และกลยุทธ์ความสำเร็จการเรียนออนไลน์ ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2564 จำนวน 277 คน และผู้สอนจำนวน 7 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ค่าความถี่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้คือการสัมภาษณ์ และวิเคร์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. ลักษณะทางประชากรของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 67.87 มีอายุ 19 ปีสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 32.49 โดยกลุ่มตัวอย่างศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 จำนวนสูงสุด ร้อยละ 37.18 ส่วนใหญ่อยู่บ้านตัวเอง ร้อยละ76.53 สำหรับสถานที่สะดวกในการเรียนออนไลน์ ส่วนใหญ่ใช้ที่บ้านร้อยละ 83.39 ส่วนอุปกรณ์ที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการเชื่อมต่อสัญญานในการเรียนออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 89.89 และกลุ่มตัวอย่างกว่าครึ่งไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ ร้อยละ 63.54 2. ปัจจัยความสำเร็จการเรียนออนไลน์ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมาก (x ̅= 3.66, S.D.= 0.96) โดยปัจจัยความสำเร็จการเรียนออนไลน์ของกลุ่มตัวอย่างด้านเนื้อหามีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( x ̅= 3.74 S.D.= 0.90) รองลงมาคือด้านเทคโนโลยี และด้านผู้สอน (x ̅= 3.65 S.D.= 0.96, x ̅= 3.62 S.D.= 0.98) ตามลำดับ 3. กลยุทธการเรียนออนไลน์ของนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ ที่ควรมี ประกอบด้วยปัจจัยการสอน ออกแบบการเรียนการสอนที่ชัดเจนตั้งแต่วัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรียนเรียน และการประเมินผล จัดทำสื่อการสอนให้เหมาะสม มีทักษะทางเทคโนโลยีสามารถใช้ประโยชน์เครื่องมือออนไลน์ได้ และบริหารจัดเวลาการเรียนที่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยการเรียน มีการทำข้อตกลงในการเรียน ผู้เรียนควรมีความพร้อมในการเรียน มีทักษะทางเทคโนโลยี ควรมีการสะท้อนกลับ( Feedback) ของผู้เรียน รวมถึงมีการบันทึกการสอนเพื่อนักศึกษาสามารถเรียนรู้ย้อนหลังได้และเพิ่มช่องทางการส่งงาน ปัจจัยเนื้อหา ควรจัดรูปแบบการเรียนการสอน สื่อการสอนใหม่มีความ หลากหลาย และเสริมสร้างการเรียนรู้เชิงรุกนอกชั้นเรียน ปัจจัยเทคโนโลยี ควรสร้างสังคมออนไลน์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน จัดอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ต้องใช้ มีความพร้อมในการเข้าถึงการเรียนการสอนออนไลน์ รวมถึงแชร์เครื่องมือ/โปรแกรมที่ใช้ให้กับนักศึกษา และควรตรวจสอบช่องทางการสื่อสารที่ใช้ตลอดเวลา ปัจจัยสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ควรสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกัน เลือกใช้ครื่องมือที่เหมาะสมในแต่ละกิจกรรมการเรียนการสอน จัดส่งเนื้อหาบทเรียน วีดีโอ ให้นักศึกษาดูก่อนเรียน แบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่มย่อย และมอบหมายให้นักศึกษาศึกษาจากแหล่งเรียนรู้อื่นๆ เพิ่มเติม
แนวทางการจัดการการท่องเที่ยวและการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดแหล่งท่องเที่ยว เพื่อนันทนาการในสถานการณ์โควิด – 19 ณ เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการการท่องเที่ยวและการวางแผน กลยุทธ์ทางการตลาด ณ เมืองโบราณ จ.สมุทรปาการ ในสถานการณ์โควิด-19 โดยทาการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามจากนักท่องเที่ยว จำนวนทั้งสิ้น 400 ตัวอย่าง ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และทำการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลหลักที่เกี่ยวข้องกับเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ จานวน 10 คน จากนั้นนำผลการศึกษาที่ได้ทั้ง 2 ส่วน มาวิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผลการศึกษาต่อไป ผลการศึกษาการวิจัย พบว่า ด้านการจัดการการท่องเที่ยวจากการสอบถามนักท่องเที่ยวและสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความสอดคล้องกันว่าเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ได้มีแนวทางในจัดการจัดการการท่องเที่ยวในสถานการณ์โควิด–19 อยู่ในแนวทางที่ดีและมีความเหมาะสม ในด้านทางการตลาดนั้น เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการได้ปรับกลยุทธ์ในการเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ชาวไทยมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการเพิ่มจุดท่องเที่ยวด้านใน และปรับปรุงส่วนที่ทรุดโทรมของแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย
การอนุรักษ์และการพัฒนาการท่องเที่ยวของชุมชนมรดกริมน้ำ กรณีศึกษา ชุมชนเรือนแพแม่น้ำสะแกกรัง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสำคัญทางวัฒนธรรมและทรัพยากรมรดกของชุมชนเรือนแพแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี 2) ศึกษาแนวทางการอนุรักษ์และแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เหมาะสมกับชุมชนแพแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี และ 3) เสนอนโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยวกับหน่วยงานด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวท้องถิ่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ประชาชนในชุมชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนเรือนแพแม่นํ้าสะแกกรังเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมเป็นผลมาจากกระบวนการพัฒนาของสังคมในเรื่องคุณค่าและความต้องการของสังคมที่ตระหนักถึงการดำรงชีวิตที่มีความเกี่ยวข้องกับลักษณะของสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ ทั้งชีวิตความเป็นอยู่และการทำงานตลอดจนเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางจิตใจ เรือนแพที่แม่น้ำสะแกกรังยังเป็นเรือนแพที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยและยังคงความเอกลักษณ์ท้องถิ่นที่มีเสน่ห์และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้ ชุมชนเรือนแพสามารถพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับปลาแรด การทำอาหารจากปลาแรดโดยการประสานกับที่พักหรือโฮมสเตย์ให้มีการเรียนรู้ลงมือทำเป็นกิจกรรมเพิ่มเติมให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้การพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวต้องการการสนับสนุนจากงานพัฒนาชุมชนในการออกแบบกิจกรรมหรือการพัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชน นโยบายหรือแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยว ชุมชนควรมีการสร้างเรื่องราวของชุมชนก่อนสร้างเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์ด้วยสื่อออนไลน์ และการทำโมเดลการท่องเที่ยวให้เห็นภาพเบื้องต้นรวมทั้งการรวบรวมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวของชุมชน