จำนวนการค้นคว้าอิสระ ( 20 )

สมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงระบบอาคารสถานีรถไฟฟ้าที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงระบบอาคารสถานีรถไฟฟ้าที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงระบบอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (Blue Line) และสายรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) จำนวน 200 คน เก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วย t – test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – Way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 20 – 25 ปี สำเร็จการศึกษาระดับ ปวส. หรือเทียบเท่า มีประสบการณ์ทางานน้อยกว่า 1 ปี และระหว่าง 1 – 3 ปี ซึ่งปฏิบัติงานสังกัดหน่วยงานสายสีน้ำเงิน (Blue Line) กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นโดยรวมต่อสมรรถนะและประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ในระดับมาก ( = 3.97 และ = 4.01) และผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า 1) ผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงระบบอาคารสถานีรถไฟฟ้าที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษาประสบการณ์ทำงาน และสังกัดหน่วยงาน ที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานซ่อมบำรุงระบบอาคารสถานีรถไฟฟ้าแตกต่างกัน 2) สมรรถนะของผู้ปฏิบัติงานซ่อมบำรุงระบบอาคารสถานีรถไฟฟ้า ได้แก่ สมรรถนะด้านทักษะ สมรรถนะด้านทัศนคติ และสมรรถนะด้านคุณลักษณะพึงประสงค์ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานซ่อมบำรุงระบบอาคารสถานีรถไฟฟ้า โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาลขององค์กร ที่มีผลต่อมูลค่าตามราคาตลาดของบริษัทในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาลขององค์กร ที่ส่งผลต่อมูลค่าตามราคาตลาดของธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือ บริษัทในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Source) ที่ได้จากงบการเงินของบริษัท ระหว่างปี พ.ศ. 2560 – พ.ศ. 2564 รวม 5 ปี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Correlation Analysis) และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression) ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ( Stepwise Multiple Regression) ระหว่างปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาลขององค์กร ต่อมูลค่าตามราคาตลาด การจัดอันดับใน ESG100 (ESG) กลุ่มรายชื่อหุ้นยั่งยืน (THSI) กลุ่มหุ้นยั่งยืนระดับโลก (DJSI) มีความสัมพันธ์ทางบวก กับมูลค่าตามราคาตลาด (MCAP) และรางวัลรายงานความยั่งยืน (CSR) มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้าม กับมูลค่าตามราคาตลาด (MCAP) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ (INT) อัตราเงินเฟ้อ (INF)ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และประเมินคะแนนการกำกับดูแลกิจการ (CGR) ไม่มีความสัมพันธ์กับมูลค่าตามราคาตลาด (MCAP)

การประยุกต์ใช้การบัญชีบริหารและความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในธุรกิจอุตสาหกรรมยาแห่งประเทศไทย
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้การบัญชีบริหารและความเป็นมืออาชีพของนักบัญชีที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในธุรกิจอุตสาหกรรมยาแห่งประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Qualitative Research) จากกลุ่มตัวอย่าง คือ นักบัญชีในธุรกิจอุตสาหกรรมยา แห่งประเทศไทย จากรายนามสถานที่ผลิตยาแผนปัจจุบันในประเทศไทย ที่ได้รับรองมาตรฐานวิธีการที่ดีในการผลิต จานวน 110 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ถดถอยเชิงพหุคูณผลการวิจัยพบว่า การประยุกต์ใช้การบัญชีบริหาร มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของนักบัญชีในธุรกิจอุตสาหกรรมยาแห่งประเทศไทย อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และความเป็นมืออาชีพของนักบัญชี มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของนักบัญชีในธุรกิจ อุตสาหกรรมยาแห่งประเทศไทย อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

คุณภาพข้อมูลทางการบัญชีและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนส่งผลต่อประสิทธิภาพการตัดสินใจ
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพข้อมูล ทางการบัญชีกับประสิทธิภาพการตัดสินใจ โดยมีตัวแปรแทรกเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน งานวิจัยนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 137 บริษัท ซึ่งใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล มีสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพข้อมูลทางการบัญชีและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนไม่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการตัดสินใจ ในขณะเดียวกันการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่เป็นตัวแปรแทรกของคุณภาพข้อมูลทางการบัญชีก็ไม่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการตัดสินใจเช่นกัน

การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรด้วยการประยุกต์ใช้เทคนิคการซ่อมบำรุงรักษาเชิงป้องกัน: กรณีศึกษา บริษัทรับเหมาก่อสร้างไทย
การค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรในงานก่อสร้างของกรณีศึกษาบริษัทรับเหมาก่อสร้างไทย ด้วยการออกแบบแนวทางการซ่อมบำรุงรักษาเชิงป้องกันเครื่องจักรในงานก่อสร้าง ซึ่งได้เก็บข้อมูลของเครื่องจักรที่มีความสำคัญในงานก่อสร้างจำนวน 7 ชนิด ได้แก่ รถเครน รถเฮี๊ยบ รถแบคโฮ รถแทรกเตอร์ รถบดสั่นสะเทือน รถบรรทุกน้ำ และ รถเกลี่ยดิน โดยเริ่มต้นจากทำการเก็บข้อมูลที่เครื่องจักรหยุดทำงาน และทำการวิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้เครื่องจักรหยุดทำงานผ่านแผนภูมิก้างปลาและแผนภูมิพาเรโต ทำการออกแบบแนวบำรุงรักษาเชิงป้องกันและนำแนวทางไปลงพื้นที่ปฏิบัติงาน จากนั้นประเมินผลก่อนและหลังการปรับปรุงด้วยการหาระยะเวลาเฉลี่ยก่อนการเสียหาย และประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักร ซึ่งผลค่าประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักรก่อนการปรับปรุง มีค่าเท่ากับร้อยละ 65.94ค่าระยะเวลาเฉลี่ยก่อนการเสียหายเท่ากับ 8,462 ชั่วโมง ค่าประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักรหลังการปรับปรุง มีค่าเท่ากับร้อยละ 91.87 ค่าระยะเวลาเฉลี่ยก่อนการเสียหายเท่ากับ 16,778 ชั่วโมงดังนั้น พบว่า ค่าประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักรเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.93 และระยะเวลาเฉลี่ยก่อนการเสียหายเพิ่มขึ้น 8,316 ชั่วโมง หรือร้อยละ 3.57 ในการปฏิบัติตามแนวทางการซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเครื่องจักรของบริษัทรับเหมาก่อสร้างไทยมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น