จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 12 )

การพัฒนาแนวทางการตลาดในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ของผู้บริโภคในจังหวัดชัยภูมิ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภคในจังหวัดชัยภูมิ 2) ศึกษาการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ของผู้บริโภคในจังหวัดชัยภูมิ 3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ของผู้บริโภคในจังหวัดชัยภูมิ 4) เปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ของผู้บริโภคในจังหวัดชัยภูมิ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 5) เปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ของผู้บริโภคในจังหวัดชัยภูมิ จำแนกตามการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ และ 6) นำเสนอการพัฒนาแนวทางการตลาดในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ของผู้บริโภคในจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริโภค จำนวน 400 คน โดยเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่ ผู้ประกอบการ จำนวน 12 คน โดยเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาการพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภค พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 41-50 ปี ประกอบอาชีพข้าราชการ/ รัฐวิสาหกิจ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 30,001 – 40,000 บาท และมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ 2) การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ของผู้บริโภค พบว่าประเภทผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกซื้อ ได้แก่ ไส้กรอกหมู หม่ำเนื้อ และปลาส้ม โดยมีเหตุผลในการเลือกซื้อเพราะรับประทานเองหรือรับประทานในครอบครัว ความถี่ในเลือกซื้อเดือนละ 1-2 ครั้งมีค่าใช้จ่ายต่อครั้ง 101 -300 บาท และผู้มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อคือ ตนเอง 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์และด้านบุคลากร 4) การเปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ผู้บริโภคที่เพศ อายุ อาชีพ ภูมิลำเนาแตกต่างกัน ให้ความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05. 5) การเปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด จำแนกตามการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์พบว่า ผู้บริโภคที่มีเหตุผลในการเลือกซื้อ ความถี่ในการเลือกซื้อ ผู้มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อแตกต่างกันให้ความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05และ 6) การนำเสนอการพัฒนาแนวทางการตลาด พบว่า การพัฒนามาตรฐานการผลิตด้วยเทคโนโลยีวัตถุดิบควรมีความสะอาดและปลอดภัย การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายรูปแบบการตลาดออฟไลน์และออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลอีกทั้งการวางแผนการโฆษณาและจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคุณภาพการให้บริการและการสร้างความประทับใจ

การออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิด ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าไหมขิด จังหวัดอุดรธานี
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้สีและลวดลายผ้าเบี่ยงไหมขิด 2) ออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิด และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิดของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าไหมขิด จังหวัดอุดรธานี ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้าเบี่ยงไหมขิด และด้านการออกแบบลวดลาย จำนวน 5 ท่าน และสมาชิกกลุ่มทอผ้าไหมขิด บ้านหนองอ้อ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แกแบบสอบถามความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัยพบว่า 1) การใช้สีและลวดลาย การใช้สี ประกอบด้วย 11 สี ได้แก่ สีครามจากต้นคราม สีแดงจากครั่ง สีเขียวจากใบสบู่เลือด สีชมพูจากไม้ฝาง สีเหลืองเข้มจากแก่นเข สีดำจากผลมะเกลือ สีทองจากดอกบัวแดง สีเงินจากก้านดอกบัวแดง สีน้ำตาลจากฝักคูน และสีเหลืองนวลจากผลทับทิม ส่วนลวดลายประกอบด้วย 9 ลาย ได้แก่ ลายกะปูอุ้มดาว ลายแมงงอด ลายหงส์ใหญ่ ลายพันมหา ลายหมากนัด ลายบายศรีอุ้มหน่วย ลายกาบอุ้มดาว ลายดาวจุ้ม และลายหงอนเงือก 2) การออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิด จำนวน 3 รูปแบบ ได้แก่ ผ้าเบี่ยงไหมขิดลายขอหลง ผ้าเบี่ยงไหมขิดลายตะเภาหลงเกาะ ผ้าเบี่ยงไหมขิดลายดอกพิกุล ผู้เชี่ยวชาญเลือก ลายขอหลงประเภทที่ 1 ลายตะเภาหลงเกาะประเภทที่ 2 และลายดอกพิกุลประเภทที่ 1 3) ความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการออกแบบผ้าเบี่ยงไหมขิดบ้านหนองอ้อ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้สีและลวดลายมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.67 ด้านการออกแบบมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.85 และด้านผลิตภัณฑ์ มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.82 ตามลำดับ

ความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์ข้อมูลที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินหลักฐานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัววัดทางบัญชีแบบดั้งเดิม อิทธิพลร่วมของข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวเงินกับตัววัดทางบัญชีแบบดั้งเดิม สินทรัพย์ไม่มีตัวตน และปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีข้อมูลครบถ้วน จำนวน 269 บริษัท ระยะเวลา 6 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2565 ช่วงเวลาดังกล่าวครอบคลุมทั้งก่อนและระหว่างการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สมการถดถอยพหุคูณแบบ Fixed Effects ผลการวิจัยพบว่า (1) ตัววัดทางบัญชีแบบดั้งเดิมทั้ง 3 ตัวคือ กำไรต่อหุ้น มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น และกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานต่อหุ้นมีอิทธิพลเชิงบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์ ในภาพรวมกำไรต่อหุ้นมีความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์สูงสุด อย่างไรก็ตามในระหว่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมทั้งในบางสมการทดสอบพบว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นมีความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์สูงกว่าตัววัดทางบัญชีแบบดั้งเดิมตัวอื่น (2) ระดับคุณภาพการกำกับดูแลกิจการช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของกำไรต่อหุ้นและมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นทั้งการทดสอบด้วยราคาปิดของหลักทรัพย์เดือนมีนาคมและเดือนเมษายน โดยอิทธิพลร่วมกับกำไรต่อหุ้นสูงกว่าอิทธิพลร่วมกับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (3) รางวัลด้านความยั่งยืนไม่ช่วยเพิ่ม ความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์ที่ทดสอบด้วยช่วงเวลารวม แต่ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของกำไรต่อหุ้นเฉพาะช่วงเวลาก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 เท่านั้น (4) รายงานเชิงบูรณาการไม่ได้ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าสินทรัพย์ในทุกช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ รวมทั้งการทดสอบด้วยราคาปิดของหลักทรัพย์เดือนเมษายน (5) ประเภทหรือขนาดของสำนักงานสอบบัญชีไม่ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์ที่ทดสอบด้วยช่วงเวลารวม แต่ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์ในระหว่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 เท่านั้น ส่วนความเห็นของผู้สอบบัญชีไม่ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์ที่ทดสอบด้วยช่วงเวลารวมทั้งกรณีใช้ราคาปิดของหลักทรัพย์เดือนมีนาคมและเมษายน แต่ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์ในระหว่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 เท่านั้น (6) สินทรัพย์ไม่มีตัวตนต่อหุ้นไม่มีความเกี่ยวข้องในการกำหนดมูลค่าหลักทรัพย์ในทุกช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ รวมทั้งการทดสอบด้วยราคาปิดของหลักทรัพย์เดือนมีนาคมและเมษายน (7) ตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคที่มีอิทธิพลต่อมูลค่าหลักทรัพย์คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศและดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจโดยมีอิทธิพลเชิงลบ ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคมีอิทธิพลเชิงบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์ สำหรับตัวแปรควบคุมคือ ขนาดของกิจการมีอิทธิพลเชิงลบต่อมูลค่าหลักทรัพย์ในช่วงเวลาการแพร่ระบาดของCOVID-19 เท่านั้น

การคาดคะเนการทุจริตจากงบการเงินโดยใช้แบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมสำหรับการตรวจสอบบัญชี
การวิจัยนี้ใช้ข้อมูลจากงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้อนหลัง 6 รอบระยะเวลาบัญชีเพื่อสร้างแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียม (Artificial NeuralNetwork: ANNs) ที่มีความแม่นยำโดยรวมสำหรับการคาดคะเนการทุจริตเพื่อใช้เป็นเครื่องมือของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตในการปฏิบัติงานตรวจสอบ โดยอาศัยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาประมวลผลผ่าน M-Score เพื่อตรวจจับการตกแต่งงบการเงินและเป็นคำตอบเพื่อใช้ในการฝึกฝนโครงข่ายประสาทเทียมให้เรียนรู้และสามารถคาดคะเนการทุจริตจากข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยเห็นได้อย่างแม่นยำโครงสร้างของโครงข่ายประสาทเทียมเป็นแบบการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ที่มีผู้สอน (Supervise) ใช้ขั้นตอนวิธี (Algorithm) ตามแนวคิดแบบป้อนไปข้างหน้า (Feedforward) และแพร่ย้อนกลับ (Backpropagation) ฟังชันกระตุ้น (Activated Function) กำหนดเป็นซิกมอยด์ (Sigmoid) และมีการปรับเทียบ (Calibration) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อเชื่อของโครงข่ายประสาทเทียมผลการวิจัยพบว่า โครงข่ายประสาทเทียมมีความแม่นยำ ร้อยละ 94.02 และมีความน่าเชื่อถือหลังปรับเทียบที่ร้อยละ 80.41 ถือได้ว่าโครงข่ายประสาทเทียมมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับดีและน่าเชื่อถือโดยโครงข่ายประสาทเทียมได้ส่งคุณลักษณะที่สำคัญ (Feature Importance) ที่ใช้ในการเรียนรู้ของโครงข่ายประสาทเทียมออกมาและทำการสกัดองค์ประกอบรายการบัญชีที่เป็นองค์ประกอบของแต่ละคุณลักษณะ (ตัวแปร) แล้วพบว่า บัญชีรายได้ (ขาย) บัญชีลูกหนี้การค้า บัญชีสินค้าคงเหลือ บัญชีซื้อสินค้า และบัญชีเจ้าหนี้การค้า เป็นรายการทางบัญชีที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตนำไปใช้กับเทคนิคการตรวจสอบบัญชีโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (Computer assisted audittechniques (CAATs) ในขั้นตอนการตรวจสอบบัญชี และในอนาคตอาจพัฒนาใช้งานร่วมกับอินเทอร์เน็ตของสรรสิ่ง (Internet of Thing: IoT) ในแบบทันที (Real-time) ได้

ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) และทุนทางปัญญา ส่งผลต่อความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล (ESG) และทุนทางปัญญา ส่งผลต่อความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ จากงบการเงิน แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปีจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 145 บริษัท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 - 2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่และร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สันและสถิติถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษานี้ พบว่า คะแนนการกำกับดูแลกิจการ สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีอิทธิพล ระหว่างกันในทิศทางตรงข้ามกับทุนทางปัญญา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สัดส่วนคณะกรรมการอิสระ มีอิทธิพลระหว่างกันในทิศทางเดียวกับทุนทางปัญญา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และประสิทธิภาพสินทรัพย์ลงทุน โครงสร้างเงินทุนมีอิทธิพลระหว่างกันในทิศทางเดียวกับความสามารถทำกำไร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01