จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 13 )

การบูรณาการบัญชีกับการบริหารสินทรัพย์เพื่อประสิทธิภาพการทํากําไรของรัฐวิสาหกิจพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย
การบูรณาการบัญชีกับการบริหารสินทรัพย์เพื่อประสิทธิภาพการทํากําไรของรัฐวิสาหกิจพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์อิทธิพลของการบูรณาการบัญชีกับการบริหารสินทรัพย์ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำกำไรของรัฐวิสาหกิจพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย 2) วิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคในการบูรณาการบัญชีกับการบริหารสินทรัพย์เพื่อประสิทธิภาพการทำกำไรของรัฐวิสาหกิจพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และ 3) เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ในการบูรณาการบัญชีกับการบริหารสินทรัพย์เพื่อประสิทธิภาพการ ทำกำไรของรัฐวิสาหกิจพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งทุติยภูมิ (Secondary Source) จากรายงานประจำปี งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ข้อมูลจากรายงานความยั่งยืน และผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ 3 ด้าน คือ การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และการปฏิบัติงานและการจัดการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึงปี พ.ศ. 2565 จำนวน 13 ปี ที่แสดงอยู่ในเว็บไซต์ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) วิเคราะห์ข้อมูลโดยการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) แบบอนุกรมเวลา (Time Series Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) มูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์มีตัวตนระยะยาว (Long-Term Tangible Assets : LTA) มีอิทธิพลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำกำไร ด้านผลตอบแทน สินทรัพย์ (ROA) ทั้งการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในทิศทางตรงกันข้ามกันและยังมีอิทธิพลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำกำไร ด้านอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เฉพาะการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในทิศทางตรงกันข้ามกัน เช่นกัน ด้านมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์มีตัวตนระยะสั้น เฉพาะของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ส่งผลต่อด้านผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) และด้านอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ในทิศทางเดียวกัน และมูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เฉพาะของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ส่งผลต่อด้านผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ในทิศทางเดียวกัน 2) ทำให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาอุปสรรค สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำกำไรให้องค์กรได้เพิ่มขึ้น 3) นักบัญชีต้องสื่อสารข้อมูลผลการดำเนินงานให้บุคลากรทุกหน่วยงานได้เข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันขององค์กรประสานงาน สื่อสาร และร่วมมือในการทำงานขององค์กรให้บรรลุเป้าหมายการทำงานร่วมกัน

2566
บรรษัทภิบาล และการวางแผนภาษีที่ส่งผลต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บรรษัทภิบาล และการวางแผนภาษีที่ส่งผลต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบรรษัทภิบาลที่ส่งผลต่อการวางแผนภาษีและการวางแผนภาษีที่ส่งผลต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Source) ที่ได้จากงบการเงิน หมายเหตุประกอบงบการเงิน แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) แบบ 56-1 One Report และคะแนนผลการประเมินจากเว็บไซต์ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) จำนวน 192 บริษัท ระหว่างปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2565 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) บรรษัทภิบาลที่วัดค่าด้วยการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ (OWN) การควบอำนาจในการบริหารของประธานกรรมการ (Dual CEO) ส่งผลต่อการวางแผนภาษีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 2) การวางแผนภาษีที่วัดค่าด้วย อัตราส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่แท้จริง (ETR) อัตราส่วนภาษีเงินได้ต่อกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน (TAX/CFO) และอัตราส่วนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์รวม (TAX/ASSET) ส่งผลต่อการเติบโต อย่างยั่งยืน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05

2566
แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ
แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ 2) ระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ 3) เปรียบเทียบระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ และ 4) นำเสนอแนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำรายย่อยที ผลิตและจำหน่ายหม่ำในจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 50 ราย โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และนำข้อมูลที ได้มาดำเนินการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ประเภทของผลิตภัณฑ์หม่ำที ผลิตและจำหน่ายคือ หม่ำข้อประเภทหม่ำเนื้อวัว และหม่ำพก ประเภทหม่ำเนื้อหมู ซึ่งมีปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือนไม่เกิน 1,000 ชิ้น ระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำ ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จัดจำหน่าย การตลาดทางตรง (ขายหน้าร้าน) มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือน 30 ,001– 40,000 บาท และส่วนใหญ่ธุรกิจตั้งอยู่ที อำเภอคอนสวรรค์ 2) ผู้ประกอบการรายย่อยมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที มีค่าเฉลี่ย สูงสุดคือ ด้านการผลิต รองลงมาคือ ด้านวัตถุดิบ และน้อยที สุดคือ ด้านการบริหารจัดการ 3) ผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อยจังหวัดชัยภูมิ มีปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำ ช่องทางการจัดจำหน่าย รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือน และทำเลที่ตั้งของร้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที ระดับ .05 และ 4) แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ คือ ควรร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อปรับปรุงวัตถุดิบและราคา วางแผนการผลิตช่วงเทศกาล เตรียมวัตถุดิบและแรงงานให้เพียงพอ พัฒนาผลิตภัณฑ์ตามกระแสนิยม หาแหล่งเงินทุนจากรัฐบาลอย่างคุ้มค่า และอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มทักษะและประสิทธิภาพ รวมถึงพัฒนาทักษะ การวางแผนเชิงกลยุทธ์

2567