จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 12 )

การพัฒนาผลิตภัณฑ์มะม่วงน้ำดอกไม้อบแห้งโดยปราศจากการเติมสารละลายน้ำตาลโดยการอบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อน
การพัฒนาผลิตภัณฑ์มะม่วงน้ำดอกไม้อบแห้งโดยปราศจากการเติมสารละลายน้ำตาลโดยการอบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อน

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์มะม่วงน้ำดอกไม้อบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนแบบอุณหภูมิคงที่และแบบปรับลดระดับอุณหภูมิเปรียบเทียบกับการอบแห้งด้วยลมร้อน โดยประเมินจลนพลศาสตร์ของการอบแห้ง ความสิ้นเปลืองพลังงานจำเพาะของกระบวนการอบแห้ง และคุณภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้อบแห้ง โดยนำมะม่วงน้ำดอกไม้ที่มีปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้อยู่ในช่วง 18-19 oBrix หั่นเป็นแผ่นด้วยความหนา 1.5 cm อบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนที่กำลัง 650 W ร่วมกับลมร้อนที่อุณหภูมิ 70-90 oC เปรียบเทียบกับการอบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนแบบปรับลดระดับอุณหภูมิที่กำลัง 650 W ร่วมกับลมร้อนที่อุณหภูมิ 90 oC และ 100 oC เป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง และการอบแห้งด้วยลมร้อน 70 oC โดยทั้งสามวิธีดำเนินการอบแห้งจนกระทั่งตัวอย่างเหลือความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 ฐานแห้ง จากผลการทดลอง พบว่าวิธีการอบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนที่อุณหภูมิ 90 oC มีอัตราการอบแห้งสูงกว่าวิธีการอบแห้งอื่น ทำให้ใช้เวลาอบแห้งสั้น ส่งผลให้มีความสิ้นเปลืองพลังงานจำเพาะทางด้านไฟฟ้าต่ำกว่าวิธีการอบแห้งอื่น มะม่วงที่ผ่านการอบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนที่อุณหภูมิ 90 oC มีค่าความสว่างของสี (L*) ร้อยละของการหดตัว ความแข็ง และความหยุ่นตัวต่ำกว่า แต่มีค่าสีแดง (+a*) และค่าสีเหลือง (+b*) สูงกว่า และมีโครงสร้างภายเป็นรูพรุนขนาดใหญ่กว่าเงื่อนไขการอบแห้งอื่น ในขณะที่มะม่วงที่ผ่านการอบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนแบบปรับลดระดับอุณหภูมิที่ 90 oC เป็นเวลา 1 ชั่วโมง มีค่าความสว่างของสีและค่าสีเหลืองสูงที่สุด แต่ค่าสีแดงต่ำที่สุด การเพิ่มขึ้นของระดับอุณหภูมิและระยะเวลาการอบแห้งในขั้นตอนแรกของกระบวนการอบแห้งทำให้มะม่วงอบแห้งมีค่าความสว่างของสี ค่าสีเหลือง ความแข็ง ความเหนียว และเปอร์เซ็นต์การหดตัวลดลง แต่สีแดงเพิ่มขึ้น และขนาดรูพรุนใหญ่ขึ้น โดยเงื่อนไขที่แนะนำสำหรับอบแห้งมะม่วงคืออบแห้งด้วยอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนแบบปรับลดอุณหภูมิที่อุณหภูมิ 90 oC เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตามด้วย 80 oC เป็นเวลา 1 ชั่วโมง และตามด้วย 70 oC

2566
การศึกษาการนำกลับมาใช้ใหม่ของพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวดที่ส่งผลต่อสมบัติทางกลและไตรโบโลยี
การศึกษาการนำกลับมาใช้ใหม่ของพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวดที่ส่งผลต่อสมบัติทางกลและไตรโบโลยี

งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการศึกษาการนำกลับมาใช้ใหม่ของพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวดที่ส่งผลต่อสมบัติทางกลและไตรโบโลยี โดยนำผงพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวดบริสุทธิ์ ที่ผลิตขึ้นในประเทศไทยเป็นวัสดุตั้งต้นในการศึกษาครั้งนี้ ผงพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวดได้รับการตรวจสอบขนาดอนุภาคผงและรูปลักษณ์สัณฐาน ผ่านกระบวนการอัดขึ้นรูปร้อนด้วยแม่พิมพ์แบบปิดซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการศึกษา การให้ความร้อนซ้ำจำนวน 3 รอบ ถูกทำเพื่อศึกษาสมบัติทางกลและไตรโบโลยี ภายใต้ความดันปิดแม่พิมพ์ 5 MPa อุณหภูมิภายในแม่พิมพ์ 140oC นาน 180 นาที มีการใช้กระบวนการหล่อเย็นผ่านแท่น หล่อเย็นเพื่อลดอุณหภูมิหลังการอัดขึ้นรูปร้อน ผลการทดสอบ พบว่า เมื่อนำพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวดผ่านการให้ความร้อนซ้ำจำนวน 3 รอบ จะให้ค่าความเค้นคราก ค่าความต้านทานแรงดึง การยืดตัว ณ จุดแตกหัก แรงกระแทก และจุดหลอมเหลวลดลง ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานมีค่าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย มีค่าความหนาแน่นลดลง มีอัตราการสึกหรอสูงขึ้น จากการตรวจสอบพื้นผิวด้วยเครื่องวัดความหยาบผิวพบว่ามีร่องรอยของการขูดขีดไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นผิวสึกหรอของพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวดบริสุทธิ์ จากการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีความจำเป็นต้องเสริมอนุภาคเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ สมบัติทางกลและไตรโบโลยีให้กับพอลิเอทิลีนน้ำหนักโมเลกุลสูงยิ่งยวด และต้องมีการทดสอบสมบัติทางกล ทางความร้อน ทางเคมี และไตรโบโลยีใหม่อีกครั้ง

2566