จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 12 )

การพัฒนาแบบจำลองคณิตศาสตร์และพัฒนาโปรแกรมเพื่อการพยากรณ์ค่า PM 2.5
การพัฒนาแบบจำลองคณิตศาสตร์และพัฒนาโปรแกรมเพื่อการพยากรณ์ค่า PM 2.5

การศึกษานี้เป็นการพัฒนาแบบจำลองเพื่อการคาดการณ์ PM 2.5 โดยใช้ Machine Learning Model ทั้งหมด 6 แบบจำลอง ได้แก่ Decision Tree Model, Gradient Boosting Model, K-neighbors Model, MLP Model, Random Forest Model, และ Ridge Model จากชุดข้อมูลของ PM 2.5 จำนวน 2.3 ล้านข้อมูล โดยรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2558 - ธันวาคม พ.ศ. 2564 จากสถานีตรวจวัดจำนวน 63 สถานี ซึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในการพัฒนาแบบจำลองได้เริ่มจากการตรวจสอบความถูกต้องและคัดกรองข้อมูล และนำข้อมูลมาจัดกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อมูลในช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 และข้อมูลในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 สำหรับใช้พัฒนาแบบจำลองและทดสอบประสิทธิภาพของแบบจำลอง ทั้งในช่วงสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 และในงานวิจัยนี้ได้นำข้อมูลย้อนหลัง (Historic data) มาใช้ในการพัฒนาแบบจำลอง จากการวิเคราะห์ พบว่า ผลการพัฒนาแบบจำลองโดยใช้ข้อมูลในช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 และใช้ข้อมูลย้อนหลังรายชั่วโมง (Lag by Hour) ประกอบ ให้ผลการวิเคราะห์ดีที่สุดด้วยแบบจำลอง Gradient Boosting Model มีค่า R2 = 0.9533, RMSE = 4.1344 และ MAPE = ร้อยละ 17.13 ในขณะที่ผลการทดสอบประสิทธิภาพของแบบจำลองด้วยชุดข้อมูลทั้งช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 และในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ก็พบว่า Gradient Boosting Model มีผลการทดสอบที่ดีที่สุด โดยมีค่า R2 = 0.8790, RMSE = 6.1375 และ MAPE = ร้อยละ 20.68 และ R2 = 0.8720, RMSE = 5.1344 และ MAPE = ร้อยละ 27.18 ตามลำดับ งานวิจัยนี้สรุปได้ว่า Gradient Boosting Model เป็นแบบจำลองที่เหมาะสมต่อการนำมาคาดการณ์ PM 2.5 ทั้งในช่วงสถานการณ์ปกติ และช่วงที่มี การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการคาดการณ์โดยใช้ข้อมูลช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้ประสิทธิภาพของแบบจำลองลดลงเล็กน้อย สำหรับแบบจำลองที่มีประสิทธิภาพรองลงมา ได้แก่ Random Forest Model, MLP Model, Decision Tree Model, K-neighbors Model, และ Ridge Model ตามลำดับ

2566
การพัฒนากระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยวด้วยกระบวนการวิเคราะห์ ปัจจัยการผลิต 4M กรณีศึกษา บริบทเครนคานเดี่ยว
การพัฒนากระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยวด้วยกระบวนการวิเคราะห์ ปัจจัยการผลิต 4M กรณีศึกษา บริบทเครนคานเดี่ยว

งานวิจัยเรื่อง การพัฒนากระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว ด้วยกระบวนการวิเคราะห์ปัจจัยการผลิต 4M กรณีศึกษา บริบทเครนคานเดี่ยว บริษัท เค.ซี.ไอ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัดกรณีศึกษา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว โดยใช้แผนภูมิกระบวนการไหล (Process Flow Charts) 2) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาที่ส่งผลต่อขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว โดยใช้แบบสอบถามสภาพปัญหาที่ส่งผลต่อขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว จากพนักงานแผนกการผลิตที่บริษัท เค.ซี.ไอ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จำนวน 12 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และ 3) เพื่อปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว โดยใช้หลักการ PDCA ประชากร คือ พนักงานที่บริษัท เค.ซี.ไอ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จำนวน 50 คน กลุ่มตัวอย่าง คือพนักงานแผนกการผลิตที่บริษัท เค.ซี.ไอ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จำนวน 12 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง และค่าความตรงเชิงเนื้อหาด้วยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence : IOC ) ระหว่างนิยามศัพท์กับข้อคำถามตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว มีขั้นตอนการผลิตทั้งหมด 36 ขั้นตอน และใช้เวลาในกระบวนการผลิต 2,080 นาที หรือ 34 ชั่วโมง 40 นาที ในการผลิตเครนคานเดี่ยว 2) ผลการศึกษาสภาพปัญหาที่ส่งผลต่อขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว พบว่า ภาพรวมสภาพปัญหาที่ส่งผลต่อขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยวอยู่ในระดับปานกลาง ( X =2.69, . . S D =1.04) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านเครื่องจักร (Machine) อยู่ในระดับมาก ( X =3.66, . . S D =0.75) ด้านคน (Man) อยู่ในระดับปานกลาง ( X =2.72, . . S D =0.87) ด้านวัสดุ (Material) อยู่ในระดับปานกลาง ( X =2.64, S.D.=1.11) และด้านวิธีการ (Method) อยู่ในระดับน้อย ( X =1.91, S.D.=0.65) และ 3) ผลการปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยว โดยใช้หลักการ PDCA พบว่า จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้เกิดความต่อเนื่องในการผลิต เพื่อลดเวลาการว่างงาน และรอคอยให้น้อยลง กระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยวของบริษัทเค.ซี.ไอ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กรณีศึกษา มีขั้นตอนการผลิตก่อนปรับปรุง 36 ขั้นตอน ลดลงเหลือ 26 ขั้นตอน ซึ่งคิดเป็น 27.78% ซึ่งส่งผลให้เวลาในกระบวนการผลิตเครนคานเดี่ยวก่อนปรับปรุง 2,080 นาที หรือ 34 ชั่วโมง 40 นาที ลดลงเหลือ 1,970 นาที หรือ 32 ชั่วโมง 50 นาที ซึ่งคิดเป็น 5.29% สามารถลดต้นทุนแรงงานได้ต่อปีประมาณ 605,022 บาทต่อปี

2566
การพัฒนาระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติตามแนวคิดแบบลีนสำหรับการบริการลูกค้าบริษัท กรณีศึกษา
การพัฒนาระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติตามแนวคิดแบบลีนสำหรับการบริการลูกค้าบริษัท กรณีศึกษา

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติตามแนวคิด แบบลีนสาหรับบริการลูกค้า และ 2) ศึกษาความพึงพอใจในการใช้ระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติ ตามแนวคิดแบบลีนสำหรับการบริการลูกค้า กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย กลุ่มผู้ใช้ข้อมูล จานวน 9 คน และกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติ จานวน 40 คน โดยทำการสุ่ม ตัวอย่างตามสะดวก เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย ระบบตอบกลับอัตโนมัติ เพื่อบริการตอบ คำถามลูกค้าผ่านทางกล่องข้อความไลน์ จึงออกแบบกระบวนการใหม่ด้วยการนาระบบแชทบอท มาประยุกต์ใช้ในงานบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังคงเป็นไปตามหลักการบริการ และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้งานระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( xˉ ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติตามแนวคิดแบบลีนสำหรับบริการที่ พัฒนาขึ้น มีการบริการข้อมูล 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) ส่วนการออกแบบ ติดตั้งเครน 2) ส่วนสั่งซื้อ สินค้า อุปกรณ์อะไหล่และบริการเสริม และ 3) ส่วนแจ้งซ่อม และเมื่อทาการประเมินคุณภาพของ ระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติตามแนวคิดแบบลีนสาหรับการบริการลูกค้าสามารถสนับสนุนและ รองรับการทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับดี ( xˉ =4.31,S.D.=0.87) และ 2) ผู้ใช้งานระบบตอบกลับแบบอัตโนมัติตามแนวคิดแบบลีนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ของบริษัทมีความพึงพอใจต่อการใช้งานอยู่ในระดับมาก ( xˉ =4.42,S.D.=0.58)

2566
การวิเคราะห์ความแข็งแรงและความเสียหายของกันชนรถยนต์ด้วยระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์
การวิเคราะห์ความแข็งแรงและความเสียหายของกันชนรถยนต์ด้วยระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความแข็งแรงของกันชนรถยนต์ด้วยวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์ โปรแกรม ANSYS เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์แบบ Static Structural ในช่วงยืดหยุ่นเชิงเส้นโดยพิจารณาจากความเค้นครากเป็นหลัก โครงสร้างกันชนแบ่งออกเป็นสองส่วน ประกอบด้วยกันชนและส่วนแขนยึดกันชน จากการวิเคราะห์พบว่าถ้าแขนของกันชนซึ่งเป็นชิ้นส่วนยึดระหว่างกันชนกับตัวถังรถยนต์ยาวเท่าใดจะส่งผลให้เกิดการเสียรูปได้ง่ายขึ้น ตำแหน่งการยึดด้วยสลักเกลียวระหว่างกันชนกับแขนยึดกันชนจะเป็นตำแหน่งที่เสียรูปได้ง่ายและเมื่อพิจารณาตำแหน่งการยึดระหว่างแขนยึดกันชนกับตัวถังรถยนต์พบว่าจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญแต่ด้วยมีจำนวนสลักเกลียวและพื้นที่ในการติดตั้งมากกว่าจึงมีการเสียรูปยากกว่าตำแหน่งที่ยึดกันระหว่างกันชนกับแขนยึดกันชน ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการเสียรูป ประกอบด้วย แรงที่กระทำ ชนิดของแรง ทิศทางและตำแหน่งของแรง ความหนา รูปร่าง จุดจับยึด จากการออกแบบและวิเคราะห์ส่งผลให้สามารถนำโมเดลไปวิเคราะห์ต่อในรูปแบบ Explicit Dynamic ได้ การวิเคราะห์ด้วยวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์ถูกเลือกให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการจำลองผลการวิเคราะห์ในรูปแบบการวิเคราะห์แบบ Explicit Dynamic ด้วยโปรแกรม ANSYS สำหรับแขนยึดกันชนรถยนต์เข้ากับตัวถังรถยนต์เป็นวัสดุสตรักเชอรัลสตีล (Structural Steel) ในการจำลองทางไฟไนต์เอลิเมนต์แบบไม่เชิงเส้นนี้จะต้องกำหนดวัสดุสตรักเชอรัลสตีล ให้มีสมบัติวัสดุเป็นไปตาม Steinberg-Guinan Strength การวิเคราะห์จะต้องทำการควบคุมขนาดเอลิเมนต์ และกำหนด Time Step ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ กันชนรถยนต์จะได้รับแรงปะทะใน 3 ทิศทาง ประกอบด้วย 1) แรงปะทะด้านหน้าโดยตรง 2) แรงประทะด้านหน้าครึ่งเดียว และ 3) แรงปะทะทำมุมกับทิศทางการเคลื่อนที่ของรถยนต์ จากการวิเคราะห์พบว่าแรงปะทะทั้ง 3 รูปแบบด้วยความเร็วทดสอบที่ 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมงส่งผลให้เกิดการเสียรูปโดยตรงต่อกันชนรถยนต์ ดังนั้นจึงทำการออกแบบกันชนรถยนต์โดยพิจารณาจากความหนา รูปร่าง รวมทั้งการออกแบบจุดจับยึด และทำการวิเคราะห์จนกระทั่งได้รูปแบบกันชนที่เหมาะสมและสามารถนำไปสู่การผลิตจริงต่อไป

2566
การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ร่วมกับคาร์บอนเครดิตจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานบนหลังคา
การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ร่วมกับคาร์บอนเครดิตจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานบนหลังคา

วิทยานิพนธ์นี้นำเสนอการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ร่วมกับคาร์บอนเครดิตจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานบนหลังคา วัตถุประสงค์วิทยานิพนธ์นี้เพื่อวิเคราะห์การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประเมินปริมาณและผลตอบแทนของคาร์บอนเครดิต การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานบนหลังคา เทคนิคที่ใช้ในวิทยานิพนธ์นี้ คือ การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ร่วมกับคาร์บอนเครดิต โดยการวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การวิเคราะห์ทางการเงิน และการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ ระบบทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานบนหลังคาขนาด 149.80 กิโลวัตต์ และ 25.68 กิโลวัตต์ กรณีศึกษาแบ่งออกเป็น 4 กรณี กรณีที่ 1 การวิเคราะห์การผลิตพลังงานไฟฟ้า กรณีที่ 2 การประเมินคาร์บอนเครดิต กรณีที่ 3 การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ และกรณีที่ 4 การวิเคราะห์ผลประโยชน์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานบนหลังคาในพื้นที่เดียวกัน กรณีศึกษาย่อยการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์แบ่งออกเป็น 4 กรณีศึกษาย่อย กรณีศึกษาย่อยที่ 1 กรณีฐานไม่พิจารณาคาร์บอนเครดิต กรณีศึกษาย่อยที่ 2 กรณีศึกษาย่อยที่ 3 และกรณีศึกษาย่อยที่ 4 การพิจารณาคาร์บอนเครดิตเป็นเวลา 7 ปี 14 ปี และ 25 ปีตามลำดับ ดัชนีทางเศรษฐศาสตร์นำมาวิเคราะห์ ได้แก่ มูลค่าปัจจุบันสุทธิ อัตราผลตอบแทนภายใน อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน และระยะเวลาคืนทุน วิทยานิพนธ์นี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์แนวทางใหม่พิจารณาร่วมกับคาร์บอนเครดิตจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานบนหลังคา และเป็นการประยุกต์ใช้คาร์บอนเครดิตร่วมกับพลังงานหมุนเวียน

2566