จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 16 )
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม ของวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช 2) การตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาในประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำ นวน 200 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเลือกเรียนต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม ของวิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทั้ง 7 ด้านอยู่ในระดับมากและมากที่สุด โดย มีค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านครูผู้สอน ด้านสภาพแวดล้อมของวิทยาลัย ด้านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ด้านสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่สนับสนุนการสอน ด้านการประกอบอาชีพ ด้านหลักสูตร และด้านภาพลักษณ์ของวิทยาลัย 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช สรุปได้ดังนี้ 2.1) เพศและเกรดเฉลี่ยสะสมไม่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน 2.2) อายุและรายได้ของผู้ปกครองต่อเดือนมีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อของนักเรียน โดยอายุมีความสัมพันธ์กับด้านสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่สนับสนุนการสอนแผนกวิชาที่เลือกศึกษาต่อมีความสัมพันธ์กับด้านการประกอบอาชีพ และรายได้ของผู้ปกครองต่อเดือนมีความสัมพันธ์กับด้านภาพลักษณ์ของวิทยาลัย ทั้ง 7 ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
การพัฒนาชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่อง การแปรรูปแยมสับปะรด สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์
การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา การงานอาชีพ 1 เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด โดยใช้ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด กับวิธีการสอนแบบปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่มีต่อชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่เรียนในรายวิชาการงานอาชีพ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม จำนวน 2ห้อง รวม 76 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด แบบประเมินคุณภาพสื่อ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบสองกลุ่มที่เป็นอิสระ ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยม สับปะรด สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ด้านเนื้อหาและด้านสื่อการสอนและเทคโนโลยีการศึกษามีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรดสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ มีความพึงพอใจต่อชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.87, S.D. = 0.35)
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน วิชาการงานอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างสื่อมัลติมิเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน 2) ประเมินประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน 3) ศึกษาความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมินชิ้นงานของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน วิชาการงานอาชีพ กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสมของสื่อมัลติมีเดีย แบบประเมินทักษะ การปฏิบัติงาน และแบบประเมินความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดีย วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย E1/E2 ตามเกณฑ์แบบ 80/80 และค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างผู้ประเมิน ผลการวิจัย พบว่า 1) ความเหมาะสมด้านเนื้อหาของสื่อมัลติมีเดีย เรื่องการแกะสลักพื้นฐาน ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก ค่าเฉลี่ย 4.90 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า อยู่ในระดับดีมากทุกด้าน 2) ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดียเรื่องการแกะสลักพื้นฐาน มีค่าเท่ากับ 80.50/85.25 เป็นไปตามเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพ 80/80 3) การประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้ประเมิน ในภาพรวมเท่ากับ 0.99 แสดงว่าความสอดคล้องกันมาก และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อมัลติมีเดียเรื่องการแกะสลักพื้นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด งานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะให้จัดทำสื่อการสอนสำหรับหน่วยการเรียนรู้การแกะสลักผักและผลไม้อื่น ๆ ในวิชาการงานอาชีพ และศึกษารูปแบบการสอนทักษะการแกะสลักพื้นฐานที่สอดคล้องกับคุณลักษณะของผู้เรียนเพื่อให้เกิด การเรียนรู้ตามเป้าหมายของหลักสูตร
การพัฒนาสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจาก ผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2567 และเรียนวิชาการงานอาชีพพื้นฐาน จำนวน 30 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัยคือ สื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด แบบประเมินความเหมาะสมของสื่อการสอนเรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด แบบประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและวัตถุประสงค์ (IOC) เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด แบบประเมินทักษะปฏิบัติงาน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน เรื่องกระเป๋าจาก ผ้าสักหลาด สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าประสิทธิภาพสื่อ สำหรับความเหมาะสมสื่อการเรียนรู้จากการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญได้ค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.84, S.D.=0.30) และค่าความเหมาะสมแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.85, S.D.=0.36) ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ในภาพรวมเท่ากับ 93.67/91.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อสื่อการเรียนรู้เรื่องกระเป๋าจากผ้าสักหลาด วิชาการงานอาชีพพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร โดยภาพรวมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (M=4.75, S.D.=0.52) ซึ่งพบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุดคือ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากสื่อการสอน อยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.78, S.D.=0.48) รองลงมาด้านเนื้อหา (M=4.74, S.D.=0.54) และด้านการสอน (M=4.73, S.D.=0.52) ตามลำดับ
การพัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประสิทธิภาพของสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ แผนกวิชาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี 2) ประเมินความพึงพอใจในการเรียนด้วยสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ แผนกวิชาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษา สุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานีในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 4 ห้อง มีนักเรียนทั้งหมด 120 คน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระดับชั้นปีที่1 จำนวน 29 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Random Sarmpling) เครื่องมือวิจัยคือ สื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหารเรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี, แบบประเมินประสิทธิภาพสื่อ, แบบประเมินทักษะปฏิบัติงาน, แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ คำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าประสิทธิภาพสื่อ ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานีในภาพรวมมีประสิทธิภาพเป็น 85.17/93.28 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อสื่อมัลติมีเดีย วิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชัง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.69, S.D.=0.47) ด้านเนื้อหาของบทเรียน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด(M=4.83, S.D.=0.37) รองลงมาด้านการใช้งานมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด(M=4.71,5.D.=0.49) และด้านเนื้อหามีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.56, 5.D.=0.52) ตามลำดับ