จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 79 )

อิทธิพลของการรับชมรีวิวร้านอาหารผ่านสื่อออนไลน์ ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหาร ภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิด-19
การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ในการตัดสินใจ ซื้ออาหารของผู้บริโภค ภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 2) ศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัย ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหาร หลังจากรับชมรีวิวจากสื่อออนไลน์ ภายใต้สถานการณ์วิกฤต โควิด-19 3) เปรียบเทียบการตัดสินใจซื้ออาหาร หลังจากรับชมรีวิวจากสื่อออนไลน์ จำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 และ 4) หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจกับการตัดสินใจซื้ออาหาร หลังจากรับชมรีวิวผ่านสื่อออนไลน์ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภคที่ เคยรับชมรีวิวอาหารจากสื่อออนไลน์ และเคยซื้ออาหารอย่างน้อย 1 ครั้ง จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ F-test และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่าย ผลการวิจัย มีดังนี้ 1) พฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์ในการรับชมรีวิวร้านอาหารของผู้บริโภค พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกรับชมรีวิวจากช่อง ยูทูป (YouTube) ผ่านโทรศัพท์มือถือ (Smartphone) เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการสั่งอาหารออนไลน์ โดยใช้เวลาในการรับชมประมาณ 15 – 30 นาที จากที่พักอาศัยของตนเองในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งช่วงเวลา 16.01 น. – 20.00 น. เป็นช่วงเวลาที่นิยมรับชมกันมากที่สุด ใช้บริการสั่งอาหารรูปแบบเดลิเวอรี่ผ่านสื่อออนไลน์น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และมีค่าใช้จ่ายในการสั่งอาหารอยู่ที่ 101 – 200 บาทต่อครั้ง 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารหลังจากรับชมรีวิวจากสื่อออนไลน์ภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่ามีความสำคัญอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยมากไปน้อย คือ ด้านเนื้อหาและการนำเสนอ ด้านผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ และด้านรูปแบบการนำเสนอ 3) ลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่าง มีการตัดสินใจสั่งซื้ออาหารหลังการรับชมรีวิว จากสื่อออนไลน์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจกับการตัดสินใจซื้ออาหาร หลังจากรับชมรีวิวผ่านสื่อออนไลน์ ภายใต้สถานการณ์วิกฤต โควิด-19 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับสูง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อพิจารณา รายด้าน พบว่า ด้านเนื้อหาและการนำเสนอ ด้านรูปแบบการนำเสนอ มีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก ส่วนด้านผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์มีความสัมพันธ์ในระดับสูงและไปในทิศทางเดียวกัน

ผลิตภัณฑ์ไส้อั่วมังสวิรัติจากกลูเตนผสมเห็ดแครงและลูกสํารอง
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสูตรพื้นฐานไส้อั่ว 2) ศึกษาอัตราส่วนของเห็ดแครง และเนื้อลูกสำรองที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ไส้อั่วมังสวิรัติจากกลูเตน 3) ศึกษาคุณค่าทาง โภชนาการของผลิตภัณฑ์ไส้อั่ว และ 4) ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ไส้อั่วมังสวิรัติ จากกลูเตนผสมเห็ดแครงและลูกสำรอง ผลการวิจัยพบว่าผู้ทดสอบชิมได้ให้คะแนนความชอบ ผลิตภัณฑ์ไส้อั่วสูตรพื้นฐานสูตรที่ 1 มากกว่า สูตรที่ 2 และสูตรที่ 3 ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่นรส ลักษณะเนื้อสัมผัส (ความแน่นเนื้อ) และด้านความชอบโดยรวม ผลการทดแทนเนื้อหมูบดในส่วนผสม ของไส้อั่วด้วยกลูเตนผสมเห็ดแครงและลูกสำรอง พบว่าปริมาณของกลูเตน เห็ดแครง และเนื้อลูก สำรองผสมกันที่อัตราส่วน 50: 30 : 20 เป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับทดแทนเนื้อหมูบดในผลิตภัณฑ์ ไส้อั่วมังสวิรัติจากกลูเตน (p≤ 0.05) ด้วยอัตราส่วนนี้มีผลให้ไส้อั่วมังสวิรัติจากกลูเตนได้รับคะแนน ความชอบด้านลักษณะปรากฏ ด้านสี ด้านกลิ่นรส ด้านลักษณะเนื้อสัมผัส (ความแน่นเนื้อ) และความชอบโดยรวม มากกว่าอัตราส่วน 50:35:15 50:40:10 และ 50:45:5 ผลการวิเคราะห์คุณค่า ทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ไส้อั่ว พบว่าผลิตภัณฑ์ไส้อั่วมังสวิรัติจากกลูเตนผสมเห็ดแครงและ ลูกสำรอง มีพลังงานลดลงจากไส้อั่วสูตรพื้นฐาน ร้อยละ 26.73 ปริมาณไขมันลดลง ร้อยละ 88.99 ปริมาณโปรตีนลดลง ร้อยละ 32.74 ด้วยในส่วนผสมของไส้อั่วมังสวิรัติจาก กลูเตนผสมเห็ดแครงและ ลูกสำรองไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ปริมาณพลังงาน ไขมันและโปรตีนจึงลดลง ปริมาณของเถ้าลดลง ร้อยละ 66.67 แต่ปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 84.90 และปริมาณความชื้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.46 ผลการศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคพบว่าผู้บริโภคให้การยอมรับไส้อั่วมังสวิรัติจากกลูเตน ผสมเห็ดแครงและลูกสำรอง คิดเป็นร้อยละ 100 หากมีผลิตภัณฑ์ไส้อั่วมังสวิรัติจากกลูเตนผสมเห็ด แครงและลูกสำรองวางจำหน่ายในท้องตลาด ผู้บริโภคยินดีซื้อร้อยละ 93.33 ปริมาณที่ต้องการให้มี การบรรจุขนาด 500 กรัม ร้อยละ 56.67 และจำหน่ายในราคา 160 บาท ร้อยละ 53.33

ผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนาง
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสูตรพื้นฐานผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอด 2) ศึกษาการเตรียมสาหร่ายผมนางที่เหมาะสมสาหรับส่วนไส้ของผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนาง 3) ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนาง และ 4) ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนาง ผลการวิจัยพบว่า ผู้ทดสอบชิมได้ให้คะแนนความชอบผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดสูตรพื้นฐานทั้ง 3 สูตรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยสูตรที่ 2 มีคะแนนความชอบด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมสูงกว่าสูตรที่ 1 และสูตรที่ 3ผลการศึกษาการเตรียมสาหร่ายผมนางที่เหมาะสมสำหรับเป็นส่วนไส้ของผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนาง พบว่าปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนางที่เตรียมสาหร่ายโดยการต้มด้วยน้ำส้มสายชูเจือจางก่อนนำไปผลิตเป็นส่วนไส้ของปั้นสิบได้รับคะแนนความชอบมากกว่าการต้มสาหร่ายผมนางด้วยน้ำเปล่า และการต้มสาหร่ายผมนางด้วยน้ำปูนแดง ทั้งนี้วิธีการต้มสาหร่ายผมนางที่ต่างกันมีผลต่อค่าสีต่างกัน และค่าความแข็ง (Hardness) ของปั้นสิบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05เมื่อนาผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนางไปวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในปริมาณ 100 กรัมให้พลังงานทั้งหมด 379.77 กิโลแคลอรี ไขมัน 12.29 กรัม โปรตีน 5.59 กรัม คาร์โบไฮเดรต 61.70 กรัม เถ้า 1.80 กรัม ความชื้น 18.62 กรัม แคลเซียม 659.78 มิลลิกรัม และใยอาหาร 5.08 กรัม โดยปริมาณแคลเซียม และใยอาหารในผลิตภัณฑ์ปั้นสิบไส้สาหร่ายสูงกว่าผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดสูตรพื้นฐาน ผลการศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนางพบว่าผู้บริโภคทั่วไป รู้จักสาหร่ายผมนาง ร้อยละ 87.50 มีความชอบต่อผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนาง ร้อยละ 80 ให้การยอมรับผลิตภัณฑ์ปั้นสิบทอดไส้สาหร่ายผมนาง ร้อยละ 100หากมีวางจำหน่ายจะซื้อผลิตภัณฑ์ร้อยละ 95.00 โดยวางจำหน่ายที่ร้านจำหน่ายของฝากในพื้นที่ ตำบลเกาะยอ จังหวัดสงขลา ร้อยละ 90.00 และจำหน่ายในขนาดบรรจุ 30 ชิ้น ราคา 50 บาท ร้อยละ 65.83

การออกแบบชุดออกกำลังกายสำหรับสตรีมุสลิม
งานวิจัยเรื่อง การออกแบบชุดออกกำลังกายสำหรับสตรีมุสลิม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและออกแบบชุดออกกำลังกายสำหรับสตรีมุสลิม 2) สร้างต้นแบบชุดออกกำลังกายสำหรับสตรีมุสลิมที่ถูกต้องตามบทบัญญัติจำนวน 5 ชุด 3) ศึกษาความพึงพอใจจากกลุ่มเป้าหมายสตรีมุสลิมจำนวน 60 คน จากการศึกษาข้อมูลเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพนั่นคือการเลือกชุดออกกำลังกายที่สวมใส่สบาย เหมาะกับรูปร่าง เนื้อผ้ามีคุณภาพดีเหมาะกับการออกกำลังกาย เพราะนอกจากช่วยให้ออกท่าทางได้อย่างคล่องตัวแล้วยังช่วยจัดระเบียบร่างกายได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดอาการบาดเจ็บอีกด้วยแต่ทว่าชุดออกกำลังกายที่วางขายทั่วไปในปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติทางศาสนาอิสลาม ที่ได้มีการกำหนดในเรื่องของการแต่งกายของสตรีไว้ว่าการแต่งกายจะต้องปกปิดมิดชิด ฮิญาบจะต้องไม่มีการประดับประดา เนื้อผ้าจะต้องไม่บางและจะต้องไม่รัดรูปผู้วิจัยจึงมีความประสงค์ที่จะสร้างต้นแบบชุดออกกำลังกายที่ถูกต้องตามบทบัญญัติ โดยดำเนินการออกแบบจากการเก็บรวมรวบข้อมูลเพื่อการออกแบบจากประชากรมุสลิมจำนวน 400 คน เพื่อการนำมาสร้างแบบร่างชุดออกกำลังกายสำหรับสตรีมุสลิมจำนวน 5 รูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำไปสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมาย คือผู้เชี่ยวชาญด้านในด้านการออกแบบโดยพิจารณาจากความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านการออกแบบจำนวน 5 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง และนำไปสำรวจความพึงพอใจจากกลุ่มเป้าหมายสตรีมุสลิมจำนวน 60 คน ผลวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุ 18 - 24 ปี อาชีพ นักเรียน/นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นการเลือกซื้อชุดออกกำลังกายสำหรับวิ่ง ความถี่ในการซื้อ 6 - 7 เดือนต่อครั้ง พฤติกรรมด้านค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 501 - 1000 บาทต่อครั้ง ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อการจัดสินใจซื้อชุดออกกำลังกาย ความปกปิดมิดชิดของเสื้อผ้า อยู่ในระดับมาก ด้านโทนสี โทนสีขาว/ดำ อยู่ในระดับมาก ด้านลวดลายของเสื้อผ้าตอบว่าไม่มีลวดลายอยู่ในระดับปานกลาง ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจผู้สอบถามส่วนใหญ่อายุ 26 - 40 ปี ส่วนใหญ่เป็นอาชีพนักเรียนนักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจด้านรูปแบบของชุดออกกำลังกาย อยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.33 ด้านสีของชุดออกกำลังกายความพึงพอใจอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.30 ด้านประโยชน์การใช้สอยอความพึงพอใจอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.21 ด้านความสวยงามความพึงพอใจอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.18 ด้านลวดลายอยู่ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.13

การศึกษาและพัฒนาชุดลำลองสตรีจากผ้าย้อมครามธรรมชาติ จังหวัดสกลนคร ด้วยเทคนิคการแอพพลิเค่
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบชุดลำลองสตรีจากผ้าย้อมครามธรรมชาติ จังหวัดสกลนคร ด้วยเทคนิคการแอพพลิเค่ และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการพัฒนาชุดลำลองสตรีจากผ้าย้อมครามธรรมชาติจังหวัดสกลนคร ด้วยเทคนิคการแอพพลิเค่ เครื่องมือ ที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ 1) แบบร่างการออกแบบชุด 3 กลุ่มที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอีโมจิ 3 อันดับแรกที่ถูกใช้มากที่สุดในปี 2021 คือ อีโมจิหัวเราะทั้งน้ำตา อีโมจิหัวใจ และอีโมจิไฟลุก โดยอ้างอิงโครงชุดจากกระแสแฟชั่น Y2K ซึ่งเป็นแนวโน้มกระแสแฟชั่นของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนปี 2022 2) ต้นแบบผลิตภัณฑ์ชุดจริง 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชุดลำลองสตรี และผู้เชี่ยวชาญด้านการทอผ้าย้อมครามธรรมชาติจังหวัดสกลนคร และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อการศึกษาและพัฒนาชุดลำลองสตรีจากผ้าย้อมครามธรรมชาติจังหวัดสกลนคร ด้วยเทคนิคการแอพพลิเค่ ได้แก่ Designer, Merchandiser, Visual Merchandiser และ Graphic Designer ที่มีประสบการณ์การทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี จำนวน 30 คน ซึ่งกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบจำเพาะเจาะจง (Purposive Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิธีดำเนินการ คือ ร่างแบบชุดลำลอง 3 กลุ่มแล้วนำไปสอบถามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกเพียง 1 กลุ่ม สำหรับตัดเย็บจริงแล้วนำไปสอบถามความ พึงพอใจกับกลุ่มเป้าหมาย ผลการศึกษา พบว่า แบบร่างการออกแบบชุดลำลองที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจาก ผู้เชี่ยวชาญคือ ชุดลำลองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอีโมจิไฟลุก ซึ่งเป็นชุดที่มีความทันสมัย มีลูกเล่นที่ น่าสนใจ ตลอดจนวิธีการวางองค์ประกอบของลวดลาย ทำได้เรียบง่าย สะอาดตา จึงทำให้เสื้อผ้าน่า สวมใส่ ไม่ดูมากหรือน้อยเกินไป สามารถนำมา mixed & matched ได้เหมาะสม กลุ่มเป้าหมาย จำนวนทั้งหมด 30 คน พบว่า มีเพศหญิง 15 คน และเพศชาย 15 คน ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 36 - 40 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ Designer รายได้ระหว่าง 35,001 – 45,000 บาท และมี การศึกษาระดับปริญญาตรี ผลความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายพบว่า กลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจ ในด้านรูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด มีความพึงพอใจในด้านความสวยงาม อยู่ในระดับมากที่สุด มีความพึงพอใจในด้านประโยชน์ใช้สอย อยู่ในระดับมากที่สุด มีความพึงพอใจในด้านสี อยู่ในระดับ มากที่สุด มีความพึงพอใจในด้านลวดลาย อยู่ในระดับมากที่สุด และมีความพึงพอใจในด้านวิธีการ แอพพลิเค่ อยู่ในระดับมากที่สุด