จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 45 )
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เต้าหู้แข็งกาบาสูงจากน้ำนมถั่วเหลืองเพาะงอก
การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสูตรพื้นฐานที่เหมาะสมในการทำเต้าหู้แข็ง 2) ศึกษาระยะเวลาที่เหมาะสมของการเพาะงอกถั่วเหลือง 3) ศึกษาคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของเต้าหู้แข็งกาบาสูงจากน้ำนมถั่วเหลืองเพาะงอก และ 4) ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคต่อเต้าหู้แข็งกาบาสูงจากน้ำนมถั่วเหลืองเพาะงอก ผลการวิจัย พบว่าสูตรที่ 3 เป็นสูตรพื้นฐานที่เหมาะสมในการทำเต้าหู้แข็ง ประกอบด้วยเมล็ดถั่วเหลืองดิบ น้ำส้มสายชูกลั่น 5 % และน้ำสะอาด ผลการศึกษาระยะเวลาที่เหมาะสมในการเพาะงอกถั่วเหลือง โดยประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสในด้านลักษณะที่ปรากฎ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ด้วยการประเมินแบบ 9 ระดับ พบว่าผู้ชิมให้การยอมรับเต้าหู้แข็งสูตรที่ใช้ถั่วเหลืองเพาะงอกที่เวลา 24 ชั่วโมง ในระดับความชอบมาก ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.98, 7.74, 7.92 และ 8.06 ตามลำดับ ส่วนด้านเนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ผู้ชิมให้การยอมรับสูตรที่ใช้ถั่วเหลืองเพาะงอกที่เวลา 12 ชั่วโมง โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.64 และ 7.74 ตามลำดับ ผลิตภัณฑ์เต้าหู้แข็งจากถั่วเหลืองที่ผ่านการเพาะงอก 24 ชั่วโมง มีปริมาณสารกาบา 27.44 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าผลิตภัณฑ์เต้าหู้แข็งจากถั่วเหลืองที่ไม่ผ่านการเพาะงอก ที่มีปริมาณสารกาบาเพียง 15.33 มิลลิกรัม เต้าหู้แข็งทั้งสองสูตรมีค่าความสว่าง (L*) ไม่แตกต่างกัน ค่าความแน่น (Firmness) ของเต้าหู้สูตรพื้นฐาน 31.14 นิวตัน สูงกว่าเต้าหู้แข็งสูตรที่ใช้ถั่วเหลืองเพาะงอกที่ 11.23 นิวตัน ขณะที่ค่ายืดหยุ่น (Springiness) ของทั้งสองสูตรใกล้เคียงกันที่ 5.58 นิวตัน และ 5.36 นิวตัน กลุ่มผู้บริโภคให้การยอมรับผลิตภัณฑ์เต้าหู้แข็ง กาบาสูงจากน้ำนมถั่วเหลืองเพาะงอก คิดเป็นร้อยละ 100 โดยสนใจผลิตภัณฑ์ร้อยละ 96 สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ร้อยละ 89.33 และรู้จักประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เต้าหู้แข็ง คิดเป็นร้อยละ 76.67
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภคในบรรจุภัณฑ์รีทอร์ทเพาซ์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปริมาณกะทิและวิธีการมูนข้าวเหนียวสำหรับผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภค 2) ศึกษาระยะเวลาที่เหมาะสมในการฆ่าเชื้อข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภคในบรรจุภัณฑ์รีทอร์ทเพาซ์ด้วยเครื่องรีทอร์ท 3) ศึกษาระยะเวลาที่เหมาะสมในการนึ่งข้าวเหนียวสำหรับการผลิตข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภคในบรรจุภัณฑ์รีทอร์ทเพาซ์ และ 4) ศึกษาผลการเปลี่ยนแปลงคุณภาพระหว่างการเก็บรักษาข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภคในบรรจุภัณฑ์รีทอร์ทเพาซ์ ผลการศึกษาพบว่าข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภคที่ใช้วิธีการมูนข้าวเหนียวก่อนการนำไปฆ่าเชื้อโดยใช้ปริมาณน้ำกะทิ 400 กรัม (สำหรับมูนกับข้าวเหนียวน้ำหนักก่อนนึ่ง 500 กรัม) มีคะแนนด้านเนื้อสัมผัส และรสชาติสูงกว่าการใช้น้ำกะทิ 500 กรัมและ 600 กรัม (p≤0.05) ผลการศึกษาการฆ่าเชื้อข้าวเหนียวมูนในบรรจุภัณฑ์รีทอร์ทเพาซ์ด้วยเครื่องรีทอร์ทแบบพ่นน้ำที่อุณหภูมิ 119 องศาเซลซียส พบว่าการใช้เวลาในการฆ่าเชื้อนานขึ้น ข้าวเหนียวมูนมีสีเข้มขึ้น โดยการฆ่าเชื้อ 30 นาที มีค่าสี L* ลดลง และค่า a* และค่าสี b* ที่สูงกว่าการฆ่าเชื้อที่เวลา 25 นาที และ 20 นาที และข้าวเหนียวมีค่า Hardness และค่า Stickiness ที่สูงขึ้นเมื่อใช้เวลาฆ่าเชื้อนานขึ้น ทั้งนี้ไม่มีผลต่อค่า aw และตรวจไม่พบเชื้อจุลินทรีย์ตามข้อกำหนดของอาหารในภาชนะบรรจุปิดสนิทในข้าวเหนียวมูนที่ผ่านการฆ่าเชื้อตั้งแต่ 20 นาที ขึ้นไป การนึ่งข้าวเหนียว 5 นาทีกลับด้านนึ่งต่ออีก 5 นาที ข้าวเหนียวนึ่งมีระดับการสุกร้อยละ 50 เหมาะสมสำหรับการนำไปผลิตเป็นข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภค โดยได้คะแนนความชอบด้านลักษณะปรากฏ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม สูงกว่าข้าวเหนียวที่มีระดับการสุกร้อยละ 75 และร้อยละ 100 ผลิตภัณฑ์ข้าวเหนียวมูนพร้อมบริโภคในบรรจุภัณฑ์รีทอร์ทเพาซ์ที่เก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 2 เดือน มีลักษณะเนื้อสัมผัสที่แน่นขึ้น มีสีเข้มขึ้น จากค่าสี L* ที่มีแนวโน้มลดลง ค่าสี a* และ ค่า b* ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การเก็บรักษาที่นานขึ้นไม่มีผลกับค่า aw ของผลิตภัณฑ์ แต่มีผลกับค่า Hardness มีแนวโน้มสูงขึ้นแต่ค่า Stickiness มีแนวโน้มลดลง
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สูตรพื้นฐานการทำมะม่วงแช่อิ่ม 2) สูตรการผลิตเยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม 3) การปรับปรุงสูตรเยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม และ 4) ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม ผลการศึกษาสูตรพื้นฐานการทำมะม่วงแช่อิ่ม พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การยอมรับสูตรที่ 4 ที่มีค่าความเป็นกรด-ด่าง คือ 3.04 และค่าความหวานจากการวัดปริมาณของแข็งที่ละลายได้ คือ 31.10 °Brix ซึ่งเป็นค่าที่เหมาะกับการเกิดเจลของเยลลี่ ผลการศึกษาการผลิตเยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การยอมรับสูตรที่ 1 โดยมีคะแนนในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส (ความหนึบ) และความชอบโดยรวม คือ 7.76 7.32 7.26 7.72 7.76 และ 7.64 ตามลำดับ ผลการปรับปรุงสูตรเยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม โดยการปรับปรุงในด้านสีและกลิ่น พบว่า เยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่มที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว มีสีเหลืองเข้มมากขึ้น ค่า L* คือ 57.88 เป็นสีขาว ค่า a* เท่ากับ -5.09 ค่า b* เท่ากับ 51.69 ค่า aw คือ 0.96 ค่าความชื้นร้อยละ 49.29 ค่าความแข็ง ค่าความยืดหยุ่น คือ 10,752.38 g. และ 70.80 ตามลำดับ ค่าความเหนียว คือ 6.63 เยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม 100 กรัม มีค่าพลังงานทั้งหมด 153.89 กิโลแคลลอรี่ ไขมันทั้งหมด 0.53 กรัม ไขมันอิ่มตัว 0.50 กรัม โปรตีน 11.20 กรัม คาร์โบไฮเดรต 26.08 กรัม น้ำตาล 22.17 กรัม โซเดียม 9.79 มิลลิกรัมและโพแทสเซียม 0.92 มิลลิกรัม เถ้า 0.02 กรัม และค่าความชื้น 62.17 กรัม และผลการศึกษาการยอมรับของผู้บริโภค ที่มีต่อผลิตภัณฑ์เยลลี่จากน้ำมะม่วงแช่อิ่ม พบว่า ความชอบโดยรวมอยู่ในระดับชอบปานกลางถึง ชอบมาก โดยมีวัตถุประสงค์ในการเลือกซื้อเพื่อบริโภคระหว่างวัน และลักษณะของบรรจุภัณฑ์เป็น ถุงซิป บรรจุแยกชิ้น จำนวน 10 ชิ้น จำหน่ายในราคา 25 บาท และจำหน่ายที่ร้านขายของฝาก
การพัฒนาสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประสิทธิภาพของสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ แผนกวิชาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี 2) ประเมินความพึงพอใจในการเรียนด้วยสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ แผนกวิชาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษา สุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานีในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 4 ห้อง มีนักเรียนทั้งหมด 120 คน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระดับชั้นปีที่1 จำนวน 29 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Random Sarmpling) เครื่องมือวิจัยคือ สื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหารเรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี, แบบประเมินประสิทธิภาพสื่อ, แบบประเมินทักษะปฏิบัติงาน, แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ คำเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าประสิทธิภาพสื่อ ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพสื่อการสอนมัลติมีเดียวิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชั่ง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานีในภาพรวมมีประสิทธิภาพเป็น 85.17/93.28 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อสื่อมัลติมีเดีย วิชาการประกอบอาหาร เรื่องการชัง ตวง วัด สำหรับนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.69, S.D.=0.47) ด้านเนื้อหาของบทเรียน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด(M=4.83, S.D.=0.37) รองลงมาด้านการใช้งานมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด(M=4.71,5.D.=0.49) และด้านเนื้อหามีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.56, 5.D.=0.52) ตามลำดับ
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย
รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย สามารถยกระดับศักยภาพของช่างฝีมือแกะสลักได้อย่างไร้ขีดจำกัด และช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจสภาพการณ์และแนวโน้มสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย 2) วิเคราะห์องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย และ 3) พัฒนารูปแบบสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย ผู้ให้ข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 18 คน กลุ่มตัวอย่างในการตอบแบบสอบถาม ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในเฟสบุ๊คแฟนเพจแกะสลักผักและผลไม้ จำนวน 389 คน และผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนหนากลุ่มจำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามระดับความสำคัญ แบบบันทึกการจัดประชุมสนทนากลุ่ม และแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบรวบรวมข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึก ทำแบบสอบถาม ประชุมสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการณ์และแนวโน้มของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ ยุคที่ 1 ยุคก่อนหลักสูตรคหกรรมศาสตร์ ระหว่าง พ.ศ. 1907 ถึงพ.ศ. 2496 ยุคที่ 2 ยุคหลักสูตรคหกรรมศาสตร์ระหว่าง พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2525 ยุคที่ 3ยุควิชาการแกะสลักเฟื่องฟูระหว่าง พ.ศ. 2526 ถึง พ.ศ. 2544 และยุคที่ 4 ยุคการบูรณาการความรู้ด้านคหกรรมศาสตร์กับเทคโนโลยีและนวัตกรรม พ.ศ. 2545 ถึง พ.ศ. 2567 โดยเรียงตาม 8 ปัจจัย ได้แก่ 1.1) การศึกษาเรียนรู้งานแกะสลัก 1.2) การประกอบอาชีพของช่างฝีมือแกะสลัก 1.3) อุปกรณ์ที่ใช้แกะสลัก 1.4) วัตถุดิบที่ใช้แกะสลัก 1.5) ลวดลายแกะสลัก 1.6) เทคนิคการแกะสลัก1.7) การดูแลรักษาผลงานแกะสลัก และ 1.8) ประโยชน์การนำงานแกะสลักไปใช้ สำหรับกลยุทธ์สมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทยในอนาคต ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ส่งเสริมและพัฒนางานแกะสลักอย่างยั่งยืน (กลยุทธ์เชิงรุก) กลยุทธ์ฟื้นฟูและพัฒนางานแกะสลักสู่ความยังยืน (กลยุทธ์เชิงแก้ไข) กลยุทธ์เสริมสร้างมาตรฐานและความมั่นคงในงานแกะสลัก (กลยุทธ์เชิงป้องกัน) และกลยุทธ์พัฒนาหลักสูตรและยกระดับงานแกะสลัก (กลยุทธ์เชิงรับ) 2) องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 2.1) สมรรถนะด้านการสร้างสรรค์และพัฒนางานอย่างมีคุณภาพ 2.2)สมรรถนะด้านการจัดการและพัฒนางานแกะสลักอย่างมืออาชีพ 2.3) สมรรถนะด้านคุณลักษณะและจริยธรรมวิชาชีพ และ 2.4) สมรรถนะด้านความรู้พื้นฐานและเทคโนโลยีการแกะสลัก 3) พัฒนารูปแบบสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ในประเทศไทย โดยใช้แนวคิดการพัฒนาสมรรถนะของ David C. MeClelland และแนวคิดของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพองค์การมหาชนประกอบเป็นแผนภาพ CARV สมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ แบ่งออกเป็น 3 ระดับผลการประเมินรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะของช่างฝีมือแกะสลักผักและผลไม้ไนประเทศไทยโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด 1 ด้าน คือ ด้านความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ และอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความเหมาะสมของรูปแบบรองลงมา คือความเป็นไปได้ของรูปแบบ และด้านความถูกต้องของรูปแบบ ตามลำดับ