จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 35 )

การพัฒนาผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดเสริมผงใบเหลียง
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดเสริมผงใบเหลียง

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สูตรพื้นฐานของผลิตภัณฑ์เค้กเนยสด 2) ปริมาณผงใบเหลียงที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์เค้กเนยสด และ 3) การยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดเสริมผงใบเหลียง ผลการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสของผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดสูตรพื้นฐาน พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้คะแนนคุณภาพทางด้านประสาทสัมผัส สูตรที่ 3 ในด้าน ลักษณะปรากฎ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ในระดับชอบมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ย คือ 8.12 8.16 8.28 8.42 7.68 และ 8.48 ตามลำดับ ผลการศึกษาปริมาณของผงใบเหลียงที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์เค้กเนยสด 4 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 0, 3, 6, และ9 ของน้ำหนักแป้งเค้กทั้งหมด พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การยอมรับผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดเสริมผงใบเหลียงปริมาณร้อยละ 6 ของปริมาณแป้งเค้กทั้งหมด ในลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ในระดับชอบมาก โดยมีค่าเฉลี่ย คือ 8.00 7.68 7.50 7.64 7.58 และ 7.82 ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดสูตรพื้นฐาน และผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดเสริมผงใบ เหลียง ค่าสี ค่า (L* a* และ (b*) ค่าความแน่นและค่าความนุ่ม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดเสริมผงใบเหลียง 100 กรัม มีโปรตีน 6.38 กรัม น้ำตาล 19.12 กรัม คาร์โบไฮเดรต 40.11 กรัม ความชื้น 31.64 กรัม ไขมัน 20.57 กรัม เถ้า 1.30 กรัม และเบต้าแคโรทีน 254.96 ไมโครกรัม ผู้บริโภคให้การยอมรับผลิตภัณฑ์เค้กเนยสดเสริมผงใบเหลียง คิดเป็นร้อยละ 80.67 ผลิตภัณฑ์มีประโยชน์ต่อร่างกาย ยอมรับการใช้ถ้วยฟอยล์บรรจุ 1 ชิ้น น้ำหนัก 80 กรัม ราคา 21 - 25 บาท และควรมีการจัดจำหน่ายในร้านเบเกอรี่

2567
การพัฒนาชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่อง การแปรรูปแยมสับปะรด สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์
การพัฒนาชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่อง การแปรรูปแยมสับปะรด สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์

การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา การงานอาชีพ 1 เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด โดยใช้ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด กับวิธีการสอนแบบปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่มีต่อชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่เรียนในรายวิชาการงานอาชีพ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม จำนวน 2ห้อง รวม 76 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด แบบประเมินคุณภาพสื่อ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบสองกลุ่มที่เป็นอิสระ ผลการวิจัย พบว่า 1) ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยม สับปะรด สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ด้านเนื้อหาและด้านสื่อการสอนและเทคโนโลยีการศึกษามีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ ชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรดสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทพศิรินทร์ มีความพึงพอใจต่อชุดการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่องการแปรรูปแยมสับปะรด ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (M = 4.87, S.D. = 0.35)

2567
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมปังดอกอัญชันเสริมเต้าหู้ถั่วเหลือง
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมปังดอกอัญชันเสริมเต้าหู้ถั่วเหลือง

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1) สูตรพื้นฐานของขนมปังดอกอัญชัน 2) ปริมาณเต้าหู้ถั่วเหลืองที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์ขนมปังดอกอัญชัน และ 3) การยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ขนมปังดอกอัญชันเสริมเต้าหู้ถั่ว ผลการศึกษาสูตรพื้นฐานผลิตภัณฑ์ขนมปัง 3 สูตร พบว่า ผู้ทดสอบชิมมีการยอมรับขนมปังสูตรที่ 2 มากที่สุด โดยมีคะแนนลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมของขนมปังอยู่ในระดับชอบมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ย คือ 8.08 8.20 8.10 8.02 8.02 และ 8.14 ตามลำดับ ผลการศึกษาระดับความเข้มสีของน้ำดอกอัญชันที่เหมาะสมผลิตภัณฑ์ขนมปัง 4 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 0, 4, 6 และ 8 ของน้ำหนักน้ำในส่วนผสมทั้งหมด พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การยอมรับขนมปังที่ใช้น้ำดอกอัญชันเข้มข้นร้อยละ 4 ของน้ำหนักน้ำในส่วนผสมทั้งหมด โดยมีคะแนนลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมของขนมปังดอกอัญชันอยู่ในระดับชอบปานกลาง โดยมีคะแนนเฉลี่ย คือ 8.02 7.86 7.96 7.98 8.02 และ 8.08 ตามลำดับ ผลการศึกษาปริมาณเต้าหู้ถั่วเหลืองที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์ขนมปังดอกอัญชันในปริมาณที่ต่างกัน 4 ระดับ คือ ร้อยละ 0, 15, 25 และ 35 ของน้ำหนักส่วนผสมทั้งหมด พบว่า ผู้ทดสอบชิมให้การยอมรับขนมปังดอกอัญชันเสริมเต้าหู้ถั่วเหลืองร้อยละ 25 ของน้ำหนักส่วนผสมทั้งหมด ในด้านลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ในระดับชอบปานกลาง โดยมีคะแนนเฉลี่ย คือ 7.84 7.98 8.04 8.06 7.88 และ 8.00 ตามลำดับ โดยการเสริมเต้าหู้มีผลต่อสีของขนมปังดอกอัญชัน ทำให้ค่า L* และ b* ลดลง ค่า a* เพิ่มขึ้น เนื้อสัมผัสมีความแข็งและแน่นขึ้น มีความยืดหยุ่นและนุ่มขึ้น ขนมปังดอกอัญชันเสริม เต้าหู้ถั่วเหลือง 100 กรัม มีคาร์โบไฮเดรต 46.95 กรัม โปรตีน 11.42 กรัม ไขมัน 6.88 กรัม เถ้า 0.75 กรัม ความชื้น 34.00 กรัม และแอนโทไซยานิน 4.00 มิลลิกรัม และผลการศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ขนมปังดอกอัญชันเสริมเต้าหู้ถั่วเหลือง ผู้บริโภค ร้อยละ 84.67 ผลิตภัณฑ์มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยใช้ในบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษจำนวน 2 ชิ้น น้ำหนัก 40 กรัม ราคาชิ้นละ 25 บาท และควรมีการจัดจำหน่ายในร้านเบเกอรี่

2567
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะไอศกรีมแพลนต์เบสที่ผู้บริโภคต[องการ 2) ศึกษากรรมวิธีการผลิตไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอก 3) จัดทำคู่มือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ การวิจัยประกอบด้วยวิธีวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างใช้ผู้บริโภคเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยศึกษาคุณลักษณะไอศกรีมแพลนต3เบส จำนวน 400 คน ศึกษากรรมวิธีการผลิตไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอก จำนวน 50 คน จัดทำคู่มือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต3เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ ด้วยการยอมรับผลิตภัณฑ์ จำนวน 200 คน และทดลองใช[คู]มือผลิตภัณฑ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช[ในการวิจัย คือแบบสอบถาม แบบประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัส การวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพ คุณภาพทางเคมี คุณภาพทางจุลินทรีย3 และการทดลองใช[คู]มือการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางสถิติ (Analysis of Variances, ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างด้วยวิธี Duncan’s New Multiple Range Test (DMRT) กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาคุณลักษณะไอศกรีมแพลนต์เบสที่ผู้บริโภคต้องการ พบว่า ผู้บริโภคต้องการธัญพืช 3 ชนิด (ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วขาว) เนื้อสัมผัสละเอียด เนียน ตักไอศกรีมง่าย ละลายในปากได้เร็ว สีเป็นไปตามธรรมชาติของวัตถุดิบ กลิ่นรสธัญพืชรวม มีโปรตีนสูง บรรจุภัณฑ์เป็นถ้วยกระดาษแบบปดฝา และผลการศึกษากรรมวิธีการผลิตไอศกรีมแพลนต3เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอก พบว่าเมล็ดธัญพืช 3 ชนิด ที่ผ่านการแช่น้ำ 8 ชั่วโมง ถั่วเหลืองมีการบวมน้ำมากที่สุด ภายหลังการเพาะงอก 24 ชั่วโมง ถั่วขาวมีการงอกเร็วที่สุด เริ่มงอกที่ 8 ชั่วโมง นำธัญพืชเพาะงอกไปนึ่งและปั่นกับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เพื่อสกัดเป็นน้ำนมธัญพืชเพาะงอกที่ใช้ทดแทนน้ำนม พบว่า ไอศกรีมที่มีอัตราส]วนน้ำนมธัญพืชเพาะงอกจากถั่วดำ : ถั่วเหลือง : ถั่วขาว (55:35:10) ได้รับการยอมรับมากที่สุด มีสีเทาอ่อน ค่าความแข็ง (Hardness) 115.94 g force ค่าความหนืด 4840.35 cP อัตราการขึ้นฟูของไอศกรีม ร้อยละ 59.48 ปริมาณสารกาบา 39.06 mg/100 g มีค่า pH 6.65 ค่าของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ 18.40 ๐Brix ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด 25.99 mg GAE/100 mlปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด 83.20 mg QE/100 ml และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ FRAP, DPPH, ABTS,ORAC มีค่าสูงที่สุด องค์ประกอบทางเคมีจะมีค่าเพิ่มขึ้น ด้านความชื้น โปรตีน เถ้า ปริมาณไขมัน และ คาร์โบไฮเดรตลดลง การจัดทำคูมือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ พบว่า ต้นทุนไอศกรีมมีราคาขาย 10 บาท (1 ถ้วยต่อน้ำหนัก 80 กรัม) มีการยอมรับสนใจซื้อในผลิตภัณฑ์ โดยมีแนวทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางจัดจำหน่าย และส่งเสริมการตลาด โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับความเห็นด้วยอย่างยิ่ง (M = 4.68) ผลการทดลองใช้คู่มือผลิตภัณฑ์ไอศกรีมแพลนต์เบสจากน้ำนมธัญพืชเพาะงอกเพื่อสุขภาพ พบว่า ด้านคุณลักษณะเล่มคู่มือ ด้านเนื้อหาภายในเล่มคู่มือ ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ และด้านการถ่ายทอดความรู้ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุด (M = 4.75)

2567
แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ
แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ 2) ระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ 3) เปรียบเทียบระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ และ 4) นำเสนอแนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำรายย่อยที ผลิตและจำหน่ายหม่ำในจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 50 ราย โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และนำข้อมูลที ได้มาดำเนินการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ประเภทของผลิตภัณฑ์หม่ำที ผลิตและจำหน่ายคือ หม่ำข้อประเภทหม่ำเนื้อวัว และหม่ำพก ประเภทหม่ำเนื้อหมู ซึ่งมีปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือนไม่เกิน 1,000 ชิ้น ระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำ ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จัดจำหน่าย การตลาดทางตรง (ขายหน้าร้าน) มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือน 30 ,001– 40,000 บาท และส่วนใหญ่ธุรกิจตั้งอยู่ที อำเภอคอนสวรรค์ 2) ผู้ประกอบการรายย่อยมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที มีค่าเฉลี่ย สูงสุดคือ ด้านการผลิต รองลงมาคือ ด้านวัตถุดิบ และน้อยที สุดคือ ด้านการบริหารจัดการ 3) ผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อยจังหวัดชัยภูมิ มีปัญหาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำ ช่องทางการจัดจำหน่าย รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์หม่ำต่อเดือน และทำเลที่ตั้งของร้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที ระดับ .05 และ 4) แนวทางการพัฒนาธุรกิจผลิตภัณฑ์หม่ำของผู้ประกอบการรายย่อย จังหวัดชัยภูมิ คือ ควรร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อปรับปรุงวัตถุดิบและราคา วางแผนการผลิตช่วงเทศกาล เตรียมวัตถุดิบและแรงงานให้เพียงพอ พัฒนาผลิตภัณฑ์ตามกระแสนิยม หาแหล่งเงินทุนจากรัฐบาลอย่างคุ้มค่า และอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มทักษะและประสิทธิภาพ รวมถึงพัฒนาทักษะ การวางแผนเชิงกลยุทธ์

2567