จำนวนวิทยานิพนธ์ ( 45 )

แนวทางการจัดอาหารสำหรับนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
แนวทางการจัดอาหารสำหรับนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

การบริโภคอาหารที่เหมาะสม ถูกต้องตามหลักโภชนาการ มีผลทำให้นักกีฬามีสภาพร่างกายสมบูรณ์เพียงพอสำหรับการฝึกซ้อมและความพร้อมในการแข่งขัน งานวิจัยนี้ เป็นงานวิจัยแบบผสานวิธี ด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณโดยการสำรวจ และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ 2) นำเสนอแนวทางการจัดอาหารที่เหมาะสม สำหรับนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับ มัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กลุ่มตัวอย่างคือ นักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนสาธิตในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 250 คน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ นักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา 14 คน และผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่ม 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาหาร แบบบันทึกอาหารบริโภคย้อนหลัง 24 ชั่วโมง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการจัดอาหารสำหรับนักกีฬา วอลเลย์บอล รวบรวมข้อมูลโดยการสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการบริโภคอาหารของนักกีฬาวอลเลย์บอลในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 2.70 โดยจาก 27 ข้อ มีพฤติกรรมการบริโภคในระดับดี 7 ข้อ ระดับปานกลาง 19 ข้อ และระดับไม่ดี 1 ข้อ 2) ผลบันทึกการบริโภคอาหารย้อนหลัง 24 ชั่วโมงของนักกีฬาวอลเลย์บอล ในการบริโภคอาหาร 4 มื้อ ได้แก่ มื้อเช้า มื้อว่าง มื้อกลางวัน และมื้อเย็นโดยเฉลี่ย 1,461 กิโลแคลอรี ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรได้รับวันละ 2,400 - 4,000 กิโลแคลอรี และ 3) แนวทางการจัดอาหารสำหรับนักกีฬาวอลเลย์บอล แบ่งเป็น 3 แนวทาง ได้แก่ การแนะนำแนวทางการบริโภคอาหาร การจัดทำคู่มือแนวทางการบริโภคอาหาร และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคอาหารที่เหมาะสม มีผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.50 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านเมนูอาหารแนะนำ 1 วัน และด้านตัวอย่างเมนูอาหารพร้อมตำรับมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับมาก ส่วนด้านความรู้/ข้อแนะนำเพิ่มเติม และด้านความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ประโยชน์ มีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด งานวิจัยนี้ มีข้อเสนอแนะให้แนะนำวิธีการบริโภคอาหารที่เหมาะสมแก่นักกีฬาวอลเลย์บอล สำรวจความพึ่งพอใจและความคิดเห็นของนักเรียนเพื่อปรับปรงคุณภาพอาหารสำหรับนักเรียนและนักกีฬาในโรงเรียน จัดกิจกรรมให้ความรู้ในการบริโภคอาหารที่เหมาะสมแก่นักกีฬาวอลเลย์บอล และควรวิจัยต่อยอดรูปแบบการจัดการอาหารสำหรับนักกีฬาในโรงเรียนครอบคลุมทุกองค์ประกอบของกิจกรรมด้านบุคลากร ด้านนักกีฬา ด้านการจัดการแข่งขัน และด้านสวัสดิการและอาหาร

2567
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบจากภูมิปัญญาท้องถิ่นวิสาหกิจชุมชนเปลญวน-ปลาหมำ จังหวัดสุพรรณบุรี
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบจากภูมิปัญญาท้องถิ่นวิสาหกิจชุมชนเปลญวน-ปลาหมำ จังหวัดสุพรรณบุรี

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบจากภูมิปัญญาท้องถิ่นวิสาหกิจชุมชนเปลญวน-ปลาหม่ำ จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นการผลิตปลาหมำของวิสาหกิจชุมชนเปลญวน-ปลาหมำ จังหวัดสุพรรณบุรี 2) ศึกษาอุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสมของการเตรียมวัตถุดิบในการผลิตปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบด้วยกระบวนการทอดสุญญากาศ (Vacuum Fryer) และ 3) ศึกษาสูตรที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบต้นแบบ จากการศึกษาพบว่า วิสาหกิจชุมชนเปลญวน-ปลาหมำหมู่ที่ 4 ตำบลต้นตาล อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในพื้นที่ลาบลุ่มมีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และประมง นอกจากนี้มีการผลิตและจำหน่ายเปลญวนและปลาหม่ำซึ่งเป็นสินค้าการถนอมอาหารด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนชาวญวนโดยปลาหมำเป็นการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษที่ได้จากการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นปลาหมำที่ดีมีรสชาติดี สะอาด ปลอดภัยต่อผู้บริโภคใช้เฉพาะเนื้อปลาสด มักใช้ปลาช่อนหรือปลาชะโดมาผ่านกระบวนการแปรรูปที่เฉพาะของชุมชนจึงได้เป็นปลาหมำที่สามารถรับประทานและจำหน่ายได้ ทั้งนี้ทางชุมชนมีความต้องการสร้างความหลากหลายในการบริโภคปลาหมำจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบ โดยศึกษาสภาวะในการทอดกรอบปลาหมำและสมุนไพร พบว่า อุณหภูมิในการทอดที่ 110 C เวลา 10 นาที เหมาะสมในการทอดปลาหมาอุณหภูมิที่ 1100 C เวลา 15 นาที เหมาะสมในการทอดกระเทียมชอย และหอมแดงชอย ส่วนใบมะกรูดฉีกควรทอดที่อุณหภูมิ 100 C เวลา 15 นาที ส่วนการศึกษาสูตรที่เหมาะสมของผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบ พบว่าอัตราส่วนผสมของปลาหม่ำทอด : กระเทียมชอยทอด : หอมแดงชอยทอดด :ใบมะกรูดฉีกทอด ที่ 60:15:20:5 โดยน้ำหนัก ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุดในทุกด้าน ทั้งสี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม อยู่ในช่วงระดับความชอบ - ชอบที่สุด (8.00 - 8.52) การเปลี่ยนแปลงคุณภาพหลังเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบเป็นะยะเวลา 30 วัน พบว่ามีค่า Peroxide value ที่ 5.93 mEq/kg มีค่าต่ำกว่าค่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สมุนไพรทอดกรอบ (มผช.682/2567) ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบปริมาณ 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ ค่าพลังงาน 395.18 กิโลแคลอรี่ ไขมันทั้งหมด 18.18 กรัม ไขมันอิ่มตัว 7.83 กรัม คอเลสเตอรอล 60.99 มิลลิกรัม โปรตีน 29.03 กรัม คาร์โบไฮเดรต 28.86 กรัม น้ำตาล 1.92 กรัม โชเดียม 3311.30 มิลลิกรัม และโพแทสเชียม 627.73 มิลลิกรัม ผลิตภัณฑ์ปลาหมำสมุนไพรทอดกรอบที่พัฒนาได้จึงเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่เหมาะสมสำหรับการผลิตเพื่อจำหน่ายของวิสาหกิจชุมชมชนเปลญวน-ปลาหมำ จังหวัดสุพรรณบุรีต่อไป

2567
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีส 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง 3) ศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่งในอาหารพร้อมรับประทาน และ 4) ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่ออาหารพร้อมรับประทานจากผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) ประกอบด้วยวิธีวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) และวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21 - 30 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพนักเรียน/นักศึกษา และมีรายได้ต่อเดือน ไม่เกิน 10,000 บาท ความสนใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง โดยผู้บริโภคเคยบริโภคมอสซาเรลล่าชีส ชอบรับประทานทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ไม่เคยบริโภคผลิตภัณฑ์เลียนแบบนม เคยบริโภคอาหารพร้อมรับประทาน ถ้ามีผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากทุเรียนจำหน่าย ผู้บริโภคสนใจที่จะบริโภคในรูปแบบอาหารพร้อมรับประทาน และสนใจที่จะทดลองบริโภค คือ เมนูพิซซ่า ปัจจัยการเลือกบริโภคด้านสี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส องค์ประกอบในส่วนผสม คุณค่าทางโภชนาการ บรรจุภัณฑ์/ฉลาก ราคา และความสะดวกในการซื้อผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับความสำคัญมาก ถึงมากที่สุด 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสจากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง ใช้แป้งดัดแปรชนิด EHELASTIC 20 เป็นวัตถุดิบหลักของผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีสแล้วนำมาเสริมเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง ที่ระดับร้อยละ 75 ของน้ำหนักแป้งดัดแปร พบว่าปริมาณพลังงาน โปรตีน ไขมัน และเถ้า มีค่าลดลง ส่วนคาร์โบไฮเดรต และความชื้น มีปริมาณเพิ่มขึ้น ผลการวัดเนื้อสัมผัส พบว่าความแน่นเนื้อ และ ความเหนียวแน่นเพิ่มขึ้น แต่ค่าการเกาะติดลดลง ส่วนค่าสี มีค่า L* ความสว่างมาก ค่า a* มีค่าเป็นลบ จึงมีสีออกเขียว และค่า b* มีค่าเป็นบวก จึงมีสีออกเหลือง เมื่อเทียบกับมอสซาเรลลาชีสจากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่งที่ร้อยละ 10 ของน้ำหนักน้ำนมวัวดิบ ค่าเนื้อสัมผัส และค่าสี มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.05) และคุณภาพทางจุลินทรีย์เป็นไปตามมาตรฐานกำหนด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 209 พ.ศ. 2543 ว่าด้วยกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน หลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการในการตรวจวิเคราะห์ของอาหารด้านจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค 3) การใช้ผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่าชีส จากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่งในเมนูพิซซ่า โดยนำมาโรยบนแป้งพิซซ่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว ปริมาณ 25 กรัม ให้เต็มแผ่นแป้ง ผู้ชิมให้การยอมรับ อยู่ในระดับความชอบปานกลาง 4) การยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่ออาหารพร้อมรับประทานเมนูพิซซ่าจากผลิตภัณฑ์เลียนแบบมอสซาเรลล่า ชีสจากเนื้อทุเรียนที่เหลือจากการตัดแต่ง ผู้บริโภคให้การยอมรับ ร้อยละ 93.33 และสนใจซื้อ ผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 90

2567
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาปริมาณแป้งข้าวเจ้า กข 43 ทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์ขนมปัง2) ศึกษาปริมาณสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ขนมปังที่ใช้แป้งข้าว กข 43 ร่วมกับแป้งสาลี 3) ศึกษามิวชิเลจจากพืชที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ 4) ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ และ 5) จัดทำคู่มือผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผลการศึกษาพบว่าผู้บริโภคให้การยอมรับผลิตภัณฑ์ขนมปังที่ใช้ปริมาณแป้งข้าวเจ้า กข 43 ทดแทนแป้งสาลีในปริมาณร้อยละ 40 โดยคะแนนด้านลักษณะปรากฏ สีของผิวนอกและเนื้อในขนมปัง ไม่แตกต่างจากสูตรพื้นฐาน (p20.05) ผู้บริโภคยอมรับการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลร้อยละ 60 โดยผลประเมินความพอดี (Just-About-Right (3-Point JAR)) มีค่า Net Score 9.62 ไม่ต้องปรับปรุงความหวาน ผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำที่เสริมมิวซิเลจจากพืชมีความสูงของโด ปริมาตรจำเพาะ และค่าน้ำหนักที่สูญเสียหลังอบน้อยกว่าสูตรควบคุม แต่มีค่าความแข็งสูงกว่าสูตรควบคุม (p40.05) ผู้บริโภคยอมรับผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำที่เสริมมิวซิเลจจากเมล็ดแมงลัก เมล็ดเจีย และไซเลี่ยมฮัสค์ ตามลำดับ ร้อยละ 60 80 และ 80 ของแป้งข้าวเจ้า กข 43 โดยผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำที่เสริมมิวซิเลจจากไซเลี่ยมฮัสค์ ร้อยละ 80 มีคะแนนการยอมรับทางประสาทสัมผัสไม่แตกต่างจากสูตรควบคุม (520.05) ผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำที่ใช้ปริมาณแป้งข้าวเจ้า กข 43 ทดแทนแป้งสาลีในปริมาณร้อยละ 40 ใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลร้อยละ 60 และเสริมมิวชิเลจจากไซเลี่ยมฮัสค์ ร้อยละ 80 มีใยอาหารชนิดละลายน้ำ 1.94 กรัม และค่าดัชนีน้ำตาล 56.94 pGI ต่อ 100 กรัม ผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่น่าสนใจร้อยละ 60.6 ยอมรับผลิตภัณฑ์ร้อยละ 98.5 ผลการประเมินความพึงพอใจต่อคู่มือผลิตภัณฑ์ขนมปังจากแป้งข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ ด้านเนื้อหา ด้านความสวยงาม และด้านการใช้ประโยชน์ มีผลคะแนน 4.77 465 และ 4.90 คะแมน ตามลำดับ ทุกด้านมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด

2567
การพัฒนาภูมิปัญญาอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญบนพื้นฐานความดั้งเดิม
การพัฒนาภูมิปัญญาอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญบนพื้นฐานความดั้งเดิม

การวิจัย เรื่อง การพัฒนาภูมิปัญญาอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญ บนพื้นฐานความดั้งเดิม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการณ์และลักษณะภูมิปัญญาอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ ไทยรามัญ 2) พัฒนาตำรับอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญบนพื้นฐานความดั้งเดิม 3) วิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของอาหารกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญ และ 4) พัฒนาภูมิปัญญาอาหารของ กลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) โดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก สนทนากลุ่มและทดสอบทางประสาทสัมผัส ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้รู้ด้านอาหารที่มีเชื้อสายไทยรามัญในอำเภอบ้านโป่ง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักท่องเที่ยว นำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการณ์ทั่วไปของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญแสดงให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของชุมชนนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นประเด็นหลัก ๆ คือ การอพยพของชาวรามัญ อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เมืองรามัญ 7 เมือง การย้ายถิ่นฐาน และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ลักษณะภูมิปัญญาอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญ จัดประเภทตามลักษณะอาหาร ประกอบด้วย วัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหาร วิธีการปรุงอาหาร วิธีการกินอาหาร ความเชื่อด้านอาหาร และการถ่ายทอดภูมิปัญญาอาหาร ผลวิเคราะห์การรับรู้ภูมิปัญญาอาหาร พบว่า ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวรับรู้อาหารที่เป็นลักษณะเฉพาะของชาวไทยรามัญ ในระดับน้อย 2) ผลการพัฒนาตำรับมาตรฐานอาหาร ประกอบด้วย อาหารประเภทแกงไม่ใส่กะทิ 3 ตำรับ ได้แก่ แกงมะตาด แกงกล้วยดิบใบมะขามอ่อน และแกงเลียงใบกะเพราปลาย่าง ประเภทแกงใส่กะทิ ได้แก่ แกงถั่วเขียวใบมะรุม ประเภทเครื่องจิ้ม ได้แก่ น้าปลายำ และอาหารหวาน ได้แก่ ขนมด้วงมอญ ผลการประเมินตำรับมาตรฐานอาหาร พบว่า ค่าคะแนนความชอบทุกด้านอยู่ในเกณฑ์ชอบมาก 3) การวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการอาหาร พบว่า ด้านพลังงานและสารอาหารหลักในอาหารกลุ่มนี้ให้พลังงาน อยู่ระหว่าง 48.84 – 195.39 กิโลแคลอรี่ อาหารเกือบทุกประเภทมีปริมาณโซเดียมสูง โดยเฉพาะแกงกล้วยดิบใส่ใบมะขามอ่อนสูงที่สุด แคลเซียมมีปริมาณสูงที่สุด คือ แกงถั่วเขียวใบมะรุม ธาตุเหล็กมีปริมาณสูง คือ แกงกล้วยดิบใส่ใบมะขามอ่อน ส่วนแกงถั่วเขียวใบมะรุมที่มีปริมาณวิตามินเอสูงสุด ผลการปรับลดปริมาณโซเดียม พบว่า ตำรับอาหารทั้ง 4 ชนิดมีปริมาณโซเดียม ลดลงร้อยละ 20 – 37.9 4) ผลการพัฒนาภูมิปัญญาอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยรามัญ นำมาจัดเป็นสำรับอาหารไทยรามัญตามฤดูกาล ได้ 3 สำรับ ประกอบด้วย สำรับอาหารฤดูร้อน “อะบ่ะ อะเคินกะตาว” สำรับอาหารฤดูฝน “อะบ่ะ อะเคินปรั่ว” และสำรับอาหารฤดูหนาว “อะบ่ะ อะเคินเบ่าะ”

2567