จำนวนงานวิจัย ( 3 )

การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอาหารของนักท่องเที่ยวชาวไทย ในจังหวัดเพชรบุรี
การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอาหารของนักท่องเที่ยวชาวไทย ในจังหวัดเพชรบุรี

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาบริบทของอาหารที่อยู่ในเส้นทางการท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวและความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการท่องเที่ยว เชิงอาหารในจังหวัดเพชรบุรี 3. เพื่อศึกษากระบวนการในการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดเพชรบุรี โดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2565 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) พฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดเพชรบุรี และ 3) ความคิดเห็นต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดเพชรบุรี โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาสำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 21 - 30 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงาน / ลูกจ้างบริษัทเอกชนและมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 25,000 บาท พฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดเพชรบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยพิจารณาเป็นรายด้าน ดังนี้ ด้านวัตถุประสงค์ในการเดินทางมาจังหวัดเพชรบุรี พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เดินทางมาจังหวัดเพชรบุรีเพื่อชิมอาหารประจำถิ่น / เครื่องดื่มจากร้านดังที่สื่อ/สังคมออนไลน์แนะนำ ด้านค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการท่องเที่ยวเชิงอาหารต่อครั้ง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการท่องเที่ยวเชิงอาหารต่อครั้งอยู่ที่ 500 – 1,000 บาท ด้านเหตุผลในการเลือกรับประทานอาหารท้องถิ่นของจังหวัดเพชรบุรี พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้เหตุผลในการเลือกรับประทานอาหารท้องถิ่นของจังหวัดเพชรบุรีในด้านของรสชาติดี / อร่อย และด้านอาหารที่ชอบรับประทานเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดเพชรบุรี พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เลือกรับประทานอาหารพื้นเมือง / อาหารประจำถิ่นจากร้านที่คุ้นเคยหรือรับประทานเป็นประจำ ในส่วนของความคิดเห็นต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยในการท่องเที่ยวเชิงอาหารในจังหวัดเพชรบุรี ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด โดยพิจารณาเป็นรายด้าน ดังนี้ ด้านการตัดสินใจในการเดินทางมาท่องเที่ยว คือ ชื่นชอบในราคาอาหารที่มีความเหมาะสมกับปริมาณของอาหาร ด้านความสะดวกในการเข้าถึง คือ มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และด้านความประทับใจ คือ ร้านอาหารในจังหวัดเพชรบุรีมีการประชาสัมพันธ์อาหารผ่านสื่อต่าง ๆ หรือสังคมออนไลน์เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความสนใจ

2566
การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน   จังหวัดสมุทรสาคร
การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน จังหวัดสมุทรสาคร

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและรูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาครกับปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน 3. เพื่อศึกษารูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการเสนอความคิด การวางแผน และการตัดสินใจ ด้านการดำเนินการและการปฏิบัติการ ด้านการรับและแบ่งบันผลประโยชน์ และด้านการติดตามและประเมินผล และ 3) ปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะ โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวและคนในชุมชน จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาสำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานรัฐ / เจ้าหน้าที่ของรัฐ / รับราชการ และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 10,001 – 15,000 บาท 2) ความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ ดังนี้ ด้านการติดตามและประเมินผล มากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการเสนอความคิด การวางแผน และการตัดสินใจ ด้านการดำเนินการและปฏิบัติการ และด้านการรับและแบ่งปันผลประโยชน์ 3) ระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการเสนอความคิด การวางแผน และการตัดสินใจ 2) ด้านการดำเนินการและปฏิบัติการ 3) ด้านการรับและแบ่งปันผลประโยชน์ และ 4) ด้านการติดตามและประเมินผล ในภาพรวมนั้นอยู่ในระดับมาก เนื่องจากคนในชุมชนนั้นให้คอยให้ความร่วมมือในการดำเนินการแสดงความคิดเห็น ช่วยกันวิเคราะห์สภาพปัญหาของชุมชน เสนอโครงการ หรือกิจกรรมของชุมชน จัดทำโครงการ เพื่อกระตุ้นให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ในชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีการบริจาค สมทบทุน จัดตั้งคณะกรรมการในการจัดงานต่าง ๆ ในชุมชน สามารถนำสินค้าที่ตัวเองมีมาขายเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเองและชุมชน รวมถึงมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุน ติดตาม ดำเนินการกำกับดูแล และหาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข และสร้างสรรค์ชุมชนของตนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร 4) ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน มีผลต่อความคิดเห็นต่อ ระดับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและรูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เนื่องจาก คนในชุมชนไม่ว่าจะเป็นเพศหญิง เพศชาย อายุน้อยจนถึงอายุมาก หรือจะมีอาชีพแตกต่างกัน รวมไปถึงรายได้เฉลี่ยต่อเดทอนแตกต่างกัน ก็ยังให้ความร่วมมือในการสนับสนุนและพัฒนาชุมชนของตนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาคร 5) รูปแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัดสมุทรสาครนั้นได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากคนในชุมชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งทุกคนที่อาศัยในชุมชนต่างก็พัฒนาชุมชนของตนเองให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการทำเครื่องเบญจรงค์ หมู่บ้านเบญจรงค์ดอนไก่ดี ตำบลดอนไก่ดี อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร หรือการเยี่ยมชมวิถีชีวิตของคนในชุมชนเมืองประมงของชาวจังหวัดสมุทรสาคร

2565
ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

งานวิจัยนี้มีเพื่อศึกษาผลกระทบก่อนและหลังเกิดสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีต่อสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ในมุมมองของผู้ประกอบการ และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบก่อน และหลังจากสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจที่ใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ความคิดเห็นที่มีต่อผลกระทบก่อนและหลังจากสถานการณ์โควิด 19 ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลกระทบด้านการท่องเที่ยว และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และ 3) ปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะ โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนาสำหรับข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31 - 35 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ตำแหน่งพนักงาน และมีระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 6 – 10 ปี และผลการวิเคราะห์ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลกระทบก่อนและหลังสถานการณ์โควิด 19 ที่มีต่อการท่องเที่ยว พบว่า ผลกระทบก่อนและหลังเกิดสถานการณ์โควิด 19 (COVID-19) ที่มีต่อการท่องเที่ยวในมุมมองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลกระทบทางการท่องเที่ยว และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ นั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) หากไม่มีการปรับตัวในเรื่องของธุรกิจบริการต่าง ๆ ก็จะทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นขาดรายได้ ซึ่งมีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจที่พัก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจการบิน เพราะธุรกิจบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าธุรกิจอื่น ๆ และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019 (COVID-19) เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างในหลาย ๆ ธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการบางแห่งถึงขั้นปิดตัวลงเพราะสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ไม่ไหว อีกทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงัก งดการเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัด ปิดประเทศ งดการเดินทางเข้า - ออกระหว่างประเทศ ห้ามออกจากเคหสถานในยามวิกาล ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวหายไปช่วงหนึ่ง ดังนั้น ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 5.3.2 ควรเพิ่มมาตรการในการดำเนินการป้องกัน ควบคุมการติดเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019 ให้ถูกสุขลักษณะของกระทรวงสาธารณสุขมากขึ้น

2565