จำนวนงานวิจัย ( 2 )

การวิเคราะห์อุปสงค์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารริมบาทวิถี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กรณีศึกษา : ย่านถนนเยาวราช
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอุปสงค์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารริมบาทวิถี ย่านถนนเยาวราช และเพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาอาหารริมบาทวิถี ย่านถนนเยาวราช โดยใช้กระบวนการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการศึกษาเชิงปริมาณโดยการแจกแบบสอบถาม จำนวน 400 คน และสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) แบบมีโครงสร้าง (structure interview) ด้วยวิธี 3 เส้า จำนวน 10 คน ผู้ศึกษากำหนดขอบเขตของพื้นที่เพื่อใช้ในการศึกษาและการเก็บข้อมูล ได้แก่ ย่านถนนเยาวราช วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-Test และ F-Test โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) ผลการศึกษา พบว่า อุปสงค์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารริมบาทวิถี ย่านถนนเยาวราช คือ ราคา โดยส่งผลต่อ เพศ อายุ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 พบว่า เพศหญิงมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นทางการตลาดเร็วกว่าเพศชาย ช่วงอายุต่ำกว่า 20 ปี มีกระบวนการตัดสินใจซื้อที่เร็วกว่าช่วงอายุอื่น และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท มีการวางแผนการใช้จ่ายมากที่สุด ทั้งนี้มีแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาอาหารริมบาทวิถี ย่านถนนเยาวราช 4 ด้าน ดังนี้ 1) ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ คุณภาพอาหาร 2) ราคา ได้แก่ การควบคุมราคาให้คงที่ 3) สถานที่จัดจำหน่าย ได้แก่ การจัดระเบียบร้านอาหาร และ 4) การส่งเสริมการตลาด ได้แก่ มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสามารถนำไปส่งเสริมและพัฒนาอาหารริมบาทวิถี ย่านถนนเยาวราช ในลำดับต่อไป

ทัศนคติและพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวิอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นกรณีศึกษากรุงเทพมหานคร
ทัศนคติ และพฤติกรรมการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคในการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร ที่เคยสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโทบายแอพพลิเคชันจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยเป็นแบบสอบถามเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน F-test และ T-test ผลการศึกษาพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 302 คน คิดเป็นร้อยละ 75.5 และมีอายุระหว่าง 21-30 ปี จำนวน 160 คน คิดเป็นร้อยละ 40 มีระดับการศึกษาอยู่ที่ระดับปริญญาตรี จำนวน 296 คน คิดเป็นร้อยละ 74 มีสถานะภาพโสด จำนวน 371 คน คิดเป็นร้อยละ 92.8 โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน จำนวน 163 คน คิดเป็นร้อยละ 40.75 และมีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า/เท่ากับ 15,000 บาท จำนวน 201 คิดเป็นร้อยละ 50.25 ด้านทัศนคติ พบว่าโดยภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามมีทัศนคติที่ดีต่อการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่าน โมบายแอพพลิเคชั่น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 (S.D.=0.57) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุดทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามทีทัศนคติที่ดีต่อการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นในประเด็นทำให้ประหยัดเวลาจากการเดินทาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 (S.D.=0.46) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุดรองลงมา การสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นสามารถทำให้เข้าถึงอาหารได้ในเวลาที่ต้องการ 4.55 (S.D.=0.69) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุด และการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล เช่นครอบครัวที่ทำงาน กลุ่มเพื่อน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 (S.D.=0.65) ระดับความเห็นด้วยมากที่สุด ตามลำดับด้านพฤติกรรม พบว่าการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่สั่งอาหารเดลิเวิรี่ผ่านแอพพลิเคชั่น Grab ประเภทอาหารที่เลือกสั่งอาหารไทย ค่าใช้จ่าย (ไม่รวมค่าจัดส่ง) โดยเฉลี่ยครั้งต่อเดือน 1-3 ครั้ง บุคคลที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ คือ ตนเอง สื่อที่ทำให้ทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอาหาร คือ สื่อสังคมออนไลน์ ระดับความสำคัญของการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นของผู้ตอบแบบสอบถามโดยใช้ส่วนประสมทางการตลาดบริการ (7P”s) โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุดเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม ด้านบุคลากร ด้ายกายภาพและการนำเสนอ ด้านราคา ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด