จำนวนงานวิจัย ( 3 )

การทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
การทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

งานวิจัยเรื่องการทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบชุดทดสอบและศึกษาค่าความคลาดเคลื่อนของชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ โดยชุดทดสอบมีคานรับมวลความยาว 1,000 มิลลิเมตร สามารถสร้างแรงบิดที่ทอร์กทรานสดิวเซอร์ได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 นิวตันต่อเมตร การทดลองจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงการทวนสอบชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ และช่วงการทดลองหาความเป็นเชิงเส้นและค่าความคลาดเคลื่อนของชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ โดยทั้ง 2 ช่วงจะทดลองที่อุณหภูมิ 25 องศา ใช้มวลขนาด 0.1 กิโลกรัม ถึง 103.10 กิโลกรัม ในสภาวะแรงบิดต่ำสุดที่ 1 นิวตันต่อเมตร และแรงบิดสูงสุด 880 นิวตันต่อเมตร จากการทดลองพบว่าความเป็นเชิงเส้นระหว่างแรงบิดที่ได้จากการคำนวณกับมาตรวัด และแรงบิดที่ได้จากการคำนวณกับสัญญาณแรงดัน ทางไฟฟ้า นั้นมีค่าความชันเฉลี่ย เท่ากับ 0.9851 และ 0.0050 มีค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของ มาตรวัดและสัญญาณแรงดันไฟฟ้า เท่ากับ 0.2883 และ 0.2564 และมีค่าความคลาดเคลื่อนจาก ชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ มีค่าเท่ากับ 0.0148 (ร้อยละ 1.48)

2567
การทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
การทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

งานวิจัยเรื่องการทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบชุดทวนสอบอุปกรณ์วัดความดันและศึกษาความคลาดเคลื่อนของชุดทวนสอบอุปกรณ์วัดความดัน การออกแบบชุดสาธิตฯ เลือกใช้ประเภท Hydraulic dead weight tester และใช้น้ำมันเป็นสารตัวกลาง โดยการออกแบบนั้นอาศัยทฤษฎีคานงัดคานดีด ผลการศึกษาถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การทวนสอบ และ 2) การทดสอบความเป็นเชิงเส้น การเปรียบเทียบผลการทวนสอบความดันที่ได้จากการคำนวณและมาตรแสดงผลที่สภาวะความดันสูงสุดถูกพบว่า มีความแตกต่างกันร้อยละ 12.42 และที่สภาวะความดันต่ำสุด มีความแตกต่างกันร้อยละ 25 อีกทั้งการทดสอบความเป็นเชิงเส้นระหว่างความดัน ที่ได้จากการคำนวณและมาตรแสดงผล พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.9999 โดยมีค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.00558 และมีค่าความคลาดเคลื่อนระหว่างความดันที่ได้จาก การคำนวณและมาตรแสดงผล เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 16.36

2567
การเปรียบเทียบสัมประสิทธิ์ความต้านทางการหมุนของยางล้อรถจักรยานยนต์ระหว่างยางไบแอสและยางเรเดียล
การเปรียบเทียบสัมประสิทธิ์ความต้านทางการหมุนของยางล้อรถจักรยานยนต์ระหว่างยางไบแอสและยางเรเดียล

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ศึกษาและเปรียบเทียบผลการทดสอบที่ได้จากเครื่องทดสอบความต้านทานการหมุนของยางล้อรถจักรยานยนต์ โดยใช้เครื่องทดสอบหาความต้านทานการหมุนของยางล้อและประยุกต์ใช้มาตรฐาน ECE Regulation No.75 และ No.117 การทดลองครั้งนี้ใช้ตัวอย่างยางล้อ 3 ชนิด คือยางไบแอสสำหรับทางเรียบ,ยางไบแอสสำหรับทุกสภาพผิวถนนและยางเรเดียลสำหรับทางเรียบโดยทดลองที่สภาวะอุณหภูมิ 25°C ความเร็ว 80 km/hr ภายใต้แรงกดซึ่งอ้างอิงจากความสามารถการรับภาระของยางสูงสุด คือ 1.255kN และทดลองที่มุม 0°, 5°, 10° และ 15° จากการทดลองค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนของล้อรถจักรยานยนต์ขณะทำมุมต่างกัน พบว่ายางไบแอสสำหรับทางเรียบมีค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนมากที่สุด และยางเรเดียลสำหรับทางเรียบ ค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนน้อยที่สุด ส่วนค่าเฉลี่ยสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนในแต่ละมุมแปรผันตามมุมเอียง

2566