จำนวนงานวิจัย ( 10 )

การทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
การทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

งานวิจัยเรื่องการทวนสอบแรงบิดด้วยเทคนิคการต่อสเตรนเกจวงจรแบบฟูลบริดจ์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบชุดทดสอบและศึกษาค่าความคลาดเคลื่อนของชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ โดยชุดทดสอบมีคานรับมวลความยาว 1,000 มิลลิเมตร สามารถสร้างแรงบิดที่ทอร์กทรานสดิวเซอร์ได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 นิวตันต่อเมตร การทดลองจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงการทวนสอบชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ และช่วงการทดลองหาความเป็นเชิงเส้นและค่าความคลาดเคลื่อนของชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ โดยทั้ง 2 ช่วงจะทดลองที่อุณหภูมิ 25 องศา ใช้มวลขนาด 0.1 กิโลกรัม ถึง 103.10 กิโลกรัม ในสภาวะแรงบิดต่ำสุดที่ 1 นิวตันต่อเมตร และแรงบิดสูงสุด 880 นิวตันต่อเมตร จากการทดลองพบว่าความเป็นเชิงเส้นระหว่างแรงบิดที่ได้จากการคำนวณกับมาตรวัด และแรงบิดที่ได้จากการคำนวณกับสัญญาณแรงดัน ทางไฟฟ้า นั้นมีค่าความชันเฉลี่ย เท่ากับ 0.9851 และ 0.0050 มีค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของ มาตรวัดและสัญญาณแรงดันไฟฟ้า เท่ากับ 0.2883 และ 0.2564 และมีค่าความคลาดเคลื่อนจาก ชุดทดสอบทอร์กทรานสดิวเซอร์ มีค่าเท่ากับ 0.0148 (ร้อยละ 1.48)

2567
การทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม
การทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

งานวิจัยเรื่องการทวนสอบอุปกรณ์ตรวจวัดความดันแบบเปียกเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบชุดทวนสอบอุปกรณ์วัดความดันและศึกษาความคลาดเคลื่อนของชุดทวนสอบอุปกรณ์วัดความดัน การออกแบบชุดสาธิตฯ เลือกใช้ประเภท Hydraulic dead weight tester และใช้น้ำมันเป็นสารตัวกลาง โดยการออกแบบนั้นอาศัยทฤษฎีคานงัดคานดีด ผลการศึกษาถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การทวนสอบ และ 2) การทดสอบความเป็นเชิงเส้น การเปรียบเทียบผลการทวนสอบความดันที่ได้จากการคำนวณและมาตรแสดงผลที่สภาวะความดันสูงสุดถูกพบว่า มีความแตกต่างกันร้อยละ 12.42 และที่สภาวะความดันต่ำสุด มีความแตกต่างกันร้อยละ 25 อีกทั้งการทดสอบความเป็นเชิงเส้นระหว่างความดัน ที่ได้จากการคำนวณและมาตรแสดงผล พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.9999 โดยมีค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.00558 และมีค่าความคลาดเคลื่อนระหว่างความดันที่ได้จาก การคำนวณและมาตรแสดงผล เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 16.36

2567
การเปรียบเทียบคุณภาพน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขตภาคกลาง โดยใช้แผนการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์
การเปรียบเทียบคุณภาพน้ำดิบสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขตภาคกลาง โดยใช้แผนการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาในเขต ภาคกลางจากแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันตก (แม่น้ำแม่กลอง) และแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันออก (แม่น้ำเจ้าพระยา) และความแตกต่างของฤดูกาล และจุดเก็บตัวอย่างน้ำ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำดิบสำหรับ การผลิตน้ำประปา โดยวิเคราะห์คุณภาพน้ำดิบจาก 5 พารามิเตอร์ ประกอบด้วย ค่าพีเอช (pH) ค่าการนำไฟฟ้า (EC) ค่าความเค็ม (Salinity) ค่าความขุ่น (Turbidity) และค่าของแข็งละลายน้ำ (TDS) ทำการเก็บตัวอย่างน้ำจากจุดเก็บตัวอย่าง ครอบคลุม 3 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ผลการศึกษาพบว่า การเปรียบเทียบพารามิเตอร์ที่บ่งชี้คุณภาพน้ำดิบจากแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันตก และแหล่งน้ำดิบตะวันออก ในฤดูหนาวพารามิเตอร์ทั้ง 5 ค่าที่ทำการศึกษา มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 สำหรับในฤดูร้อน และฤดูฝน พารามิเตอร์ที่ทำการศึกษาจากแหล่งน้ำดิบทั้ง 2 แหล่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ยกเว้น ค่าความขุ่นไม่มีความแตกต่างกัน และเมื่อทำการเปรียบเทียบความแตกต่างของคุณภาพน้ำดิบ ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) พบว่า ความแตกต่างระหว่างฤดูกาลมีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำดิบในพารามิเตอร์ที่ทำการศึกษา สำหรับแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันตก (แม่น้ำ แม่กลอง) ความแตกต่างระหว่างฤดูกาลจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าการนำไฟฟ้า ค่าความขุ่น และค่าของแข็งละลายน้ำที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะฤดูร้อนจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าพารามิเตอร์ มากที่สุด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 และแหล่งน้ำดิบฝั่งตะวันออก (แม่น้ำเจ้าพระยา) ความแตกต่างระหว่างฤดูกาลจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าความเค็ม ค่าความขุ่น และค่าของแข็งละลายน้ำที่แตกต่างกัน โดยฤดูร้อนจะมีผลต่อค่าความเค็มมากที่สุด ขณะที่ฤดูหนาวจะมีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงของค่าความขุ่น และค่าของแข็งละลายน้ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05

2567
การทำนายจำนวนผู้สมัครเข้าศึกษา ในหลักสูตรปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์
การทำนายจำนวนผู้สมัครเข้าศึกษา ในหลักสูตรปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์

งานวิจัยนี้ดำเนินการวิจัยภายใต้การบูรณาการศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์โดยใช้การเรียนรู้ของเครื่องบนพื้นฐานการเรียนรู้แบบมีผู้สอนในงานทำนายข้อมูลจำนวนผู้สมัครเข้าศึกษาในหลักสูตรปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์จากระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทย หรือระบบ TCAS จำนวน 6 ปีการศึกษาระหว่างปี พ.ศ. 2561-2566 โดยใช้ข้อมูลปี พ.ศ. 2561-2565 เป็นข้อมูลสำหรับการเรียนรู้ และข้อมูลปี พ.ศ. 2566 เป็นข้อมูลสำหรับทดสอบประสิทธิภาพการทำงาน พัฒนาแบบจำลองด้วยภาษาไพธอนร่วมกับไลบรารีการเรียนรู้ของเครื่องและการเรียนรู้เชิงลึก ดำเนินการเปรียบเทียบประสิทธิภาพผลการทำนายข้อมูล จำนวน 5 แบบจำลอง ประกอบด้วย 1) แบบจำลองสุ่มป่าไม้ 2) แบบจำลองเพื่อนบ้านใกล้สุด 3) แบบจำลองซัพพอร์ตเวกเตอร์รีเกรสชัน 4) แบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมเพอร์เซฟตรอนแบบหลายชั้น และ 5) แบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมแบบความจำขนาดสั้นระยะยาว ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า แบบจำลองสุ่มป่าไม้มีประสิทธิภาพในการทำนายสูงสุดในทุกมิติ ของการทดสอบ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การทำนาย (Coefficient of Determination; R2) ร้อยละ 93 และ ค่าคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (MSE) เท่ากับ 944 ราย แบบจำลองเพื่อนบ้านใกล้สุดแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพรองลงมา โดยมีค่า R2 ร้อยละ 90 และค่า MSE เท่ากับ 1,414 ราย ส่วนแบบจำลองซัพพอร์ตเวกเตอร์รีเกรสชันมีประสิทธิภาพรองลงมามีค่า R2 ร้อยละ 89 และค่า MSE เท่ากับ 1,614 ราย ในส่วนประสิทธิภาพการทำนายของแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมแบบความจำขนาดสั้นระยะยาว และแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียมเพอร์เซฟตรอนแบบหลายชั้นแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ค่อนข้างต่ำโดยมีค่า R2 ร้อยละ 88 และร้อยละ 82 มีค่า MSE เท่ากับ 1,688 ราย และ 2,495 ราย ตามลำดับ

2567
การผลิตโพสไบโอติกส์จากเปลือกกระเทียมจีนหมักด้วยโพรไบโอติกส์แลคโตบาซิลลัส เพื่อใช้ประโยชน์ต้านการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในอาหาร
การผลิตโพสไบโอติกส์จากเปลือกกระเทียมจีนหมักด้วยโพรไบโอติกส์แลคโตบาซิลลัส เพื่อใช้ประโยชน์ต้านการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในอาหาร

โพสไบโอติกส์ (Postbiotics) ซึ่งเป็นผลผลิตจากการหมักจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และสามารถนำใช้ในการควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของการเน่าเสียในผักและผลไม้ระหว่างการเก็บเกี่ยวและขนส่งได้ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมของผลิตภัณฑ์สารชีวภาพเพื่อช่วยลดปัญหาการเน่าเสียของผักและผลไม้ จากการใช้สารละลายคอมบูชาสารสกัดเปลือกกระเทียมเพื่อยืดอายุมะเขือเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ประสบปัญหาเน่าและเสื่อมสภาพในช่วงการเก็บรักษาและขนส่ง จากการศึกษาพบว่า ผลิตภัณฑ์คอมบูชาหมักสารสกัดเปลือกกระเทียมสามารถยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรคทั่วไปและยับยั้งเชื้อก่อโรคเน่าในมะเขือเทศชนิด Pseudomonas sp. และ E. coli มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคเพราะมีความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงหมูต่ำ (ความเข้มข้นต่ำกว่า200 มก./มล.) พบว่าไม่เปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของเซลล์เม็ดเลือดแดง มีคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระสูงด้วยค่าปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด (TFC) และฟีนอลิกทั้งหมด (TPC) สูงกว่าคอมบูชาธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญ (TPC สูงถึง 90.55 ± 10.1 มก. GAE/100 มล. และ TFC 55.97 ± 8.5 มก. RE/100 มล ตามลำดับ).และสามารถยืดอายุการเก็บรักษามะเขือเทศเมื่อฉีดพ่นสารละลายคอมบูชาหมักสารสกัดเปลือกกระเทียมบนผิวมะเขือเทศ ทั้งนี้การฉีดพ่นตัวอย่างสารละลายคอมบูชาหมักสารสกัดเปลือกกระเทียมสามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำหนักและชะลอกระบวนการสุกได้อย่างมีนัยสำคัญ สามารถในการคงคุณภาพของมะเขือเทศได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ด้วยการลดความเป็นกรด (TA) และทำให้การเพิ่มปริมาณของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด (TSS) เมื่อมีการสุกช้า จากผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า นวัตกรรมผลิตภัณฑ์คอมบูชาหมักสารสกัดเปลือกกระเทียมสามารถนำไปพัฒนาต่อเพื่อใช้ยืดอายุผลไม้ประเภทอื่น ๆ ได้ในอนาคต และเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภคและต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

2567